วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

สุยหมึก ณ เส้นขอบฟ้า หาดแสมสาร


สุยหมึก ณ เส้นขอบฟ้า

          ช่วงบ่าย ๆ ของวันทำงานที่แสนจืดชืด จู่เสียงสวรรค์จากเพื่อนร่วมงาม ก็เอื้อนเอ่ยออกมาถามว่า "ไปตกหมึกกันไหม" และด้วยความที่เป็นคนใจง่าย จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ไม่มีเหตุผลใดที่เย็นวันเสาร์ของสัปดาห์ถัดมา เราจึงมายืนตัวเอียงอยู่บนเรือตกหมึกลำน้อย ๆ กันแล้ว

          สำหรับการไปตกปลาหมึก หรือเรียกกันอย่างคะนองปากว่า "สุยหมึก" ในครั้งแรกของชีวิตนี้ ก๊วนกระเต็นน้อย (ชมรมนักตกปลา) ผู้นำทีมได้เลือกจุดยุทธศาสตร์การล่าไปยัง หาดแสมสาร จังหวัดชลบุรี ซึ่งใคร ๆ ก็รู้ว่าทะเลแห่งนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยสัตว์น้ำทะเลน้อยใหญ่ ในแบบที่ว่ายังไง๊ยังไงต้องได้มาไม่ต่ำกว่า 10 โล

          เช้าตรู่ของวันเสาร์รถยนต์คันน้อยวิ่งออกจากเมืองกรุง โดยเลือกใช้เส้นทางมอเตอร์เวย์จ่ายสองต่อเป็นเงิน 60 บาท ยิงยาวไปโผล่ที่พัทยากลาง แล้วค่อยแวะเติมพลังกันที่ร้านส้มตำครกระเบิด ก่อนจะเดินจับจ่ายหาของประทังชีพกันบนเรือต่อ ที่ห้างสรรพสินค้าชื่อดัง ซึ่งการซื้อของก่อนลงเรือ สิ่งที่คุณจะขาดไม่ได้เลยก็คือ น้ำดื่มบริสุทธิ์ ที่ควรจะเตรียมไปอย่างเหลือเฟือ ส่วนบรรดาเหล้ายาปลาปิ้งอย่าได้เหมาจัดหนักไปมากนัก เพราะเมื่ออยู่บนเรือความเมาจะไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับนักเดินทาง

          เอ้ ยระเหยลอยชายกันอยู่นาน ในที่สุดล้อรถคันน้อยก็แล่นมาถึงหมู่บ้านชาวประมงของท่าเรือแสมสาร ซึ่งจุดนี้จะมีอาหารทะเลราคาถูก เน้นว่าถูกจริง ๆ ขายอยู่เกลื่อนเป็นทางยาว และเพื่อความชัวร์คุณควรซื้อพวกหมู หมึก กุ้ง ติดไปด้วย เผื่อว่าฝีมือตกหมึกจะด้วยต๊อกต๋อย จนจะต้องกินมาม่าอยู่ทุกมื้อ

          ของครบ คนพร้อม ก็ถึงเวลาที่เราจะจอดรถทิ้งไว้ในราคา 50 บาทต่อคืน เพื่อระหกระเหินไปเผชิญกับทะเลอ่าวไทย ซึ่งก่อนที่คุณตัดสินใจไปสุยหมึก คุณควรเตรียมร่างกายให้พร้อม เพราะเวลาขึ้นลงไม่ได้ง่ายเหมือนท่าเรือข้ามฟากเลยสักนิด


           เรือไม้ขนาด 8 วา ค่อย ๆ แล่นฝ่าเกลียวคลื่นออกจากฝั่ง ความแรงของหัวลมต้นมรสุมทำให้ทะเลมีคลื่นแทบคลั่ง จนสมาชิกบางคนต้องอาเจียน และนั่งเกาะเบาะแบบไม่ขยับ แต่ขณะเดียวกันถ้าคุณเป็นพวกคนอึดไม่เคยสะทกสะท้านความรู้สึก ที่ท้องเรือได้โต้คลื่นจะเป็นสิ่งสนุกปลุกเร้าอารมณ์ ส่วนพวกคนคออ่อนแค่เรือเอียงเพียงน้อยนิด ก็อาจทำให้ทริปนี้ไม่สำเริงสำราญไปจนจบ

          หลัง จากเคลื่อนย้ายที่หาพิกัดหลบคลื่นหลบลมกันอยู่นาน ก็ถึงเวลาถอดสมอที่ต้องบอกตามตรงเลยว่า พวกเราเลือกช่วงเวลามาตกหมึกแบบไม่สมควรให้อภัย เพราะช่วงต้นเดือนพฤษภาคมนับว่าเริ่มเข้าสู่ฤดูมรสุม สายลมจึงพัดแรงจนไม่ควรที่จะออกหาปลา


            เมื่อฟ้าเริ่มมืด บรรดานักตกปลากมือฉมังก็เริ่มเตรียมอุปกรณ์ ทั้งคันเบ็ด ทั้งเหยื่อล่อ มีออกมาวางแผ่ให้น่าตื่นตา ส่วนไต๋เรือหรือไต่ก๋งที่เป็นผู้ฝ่าคลื่นพาลูกเรือมาชิล เลือกใช้เพียงอุปกรณ์อันน้อยนิด แค่เส้นเอ็นยาว ๆ กับเหยื่อล่อตัวน้อยและอาศัยแรงแขนกระตุกนับ หนึ่ง สอง หยุด โอ้วววว…ปลาหมึกพ่นน้ำปี๊ด ๆ ก็ลอยมาอยู่บนเรือ

          เมื่อห้วงเวลาแห่งการตกหมึกเริ่มมาเยือน หลอดไฟสีเหลืองนวลจะส่องสว่างข้างตัวเรือทั้งสองข้าง ซึ่งการเปิดแสงไฟนี้ก็เพื่อเป็นการล่อลวงหมึกให้เข้าสู่กับดัก แต่ช่วงที่แสงจันทร์ยังส่องสว่าง เหล่านักเดินทางอาจรู้สึกเซ็งกันอยู่บ้าง เพราะปลาหมึกตัวน้อยใหญ่จะมัวแต่ไปหลงแสงนวล ๆ ของจันทร์เจ้า จนไม่ยอมเข้ามาติดกับดักของมนุษย์นักล่า และในยามที่พระจันทร์ลาลับขอบฟ้า เจ้าปลาหมึกก็จะมาวาดลวดลายให้คนบนเรือเร่งเครื่องสอย

          ลม ยังคงพัดอย่างบ้าคลั่ง และเมื่อคลื่นแรงก็เป็นเรื่องยากที่จะจับสัตว์ทะเลให้ได้ตามเป้า ดังนั้น จึงถึงเวลาของการครอบหมึกที่จะทำให้เราได้เฮลั่น แสงไฟแต่ละดวงค่อย ๆ ถูกดับลง จนเหลือเพียงแสงน้อย ๆ อยู่แห่งเดียว และในตอนนั้นเสียงโห่ร้องของคนทั้งลำเรือก็ดังขึ้น เมื่อภาพของปลาหมึกตัวใสแจ๋วพร้อมทั้งปลาเด็กตัวน้อย ๆ ต่างก็ออกมาโลดเต้นเล่นกลางแสงไฟ ดูไม่ต่างกับหิ่งห้อยตัวน้อยที่ไม่รู้ประสีประสาอะไร

          สำหรับการครอบหมึกครั้งแรกของค่ำคืนนี้ นับว่าล้มเหลวอย่างที่ไต๋เรือยังต้องกุมขมับ เพราะความแรงของลมไม่ทำให้หมึกตัวน้อยพัดหลงมาหาเรา และถึงจะจับได้แต่ก็มีจำนวนไม่มากมายนัก ซึ่งปริมาณอันน้อยนิดนี่เอง ที่ทำให้อาหารมื้อนี้ยิ่งเอร็ดอร่อยอย่างจับใจ หมึกสด ๆ จิ้มวาซาบิและน้ำจิ้มซีฟู้ด แหม…เนื้อหนึบ ๆ หนวดเหนียวติดลิ้น ช่างเป็นประสบการณ์ชีวิตที่หาไม่ได้ง่าย ๆ




             หลังจากเหน็ดเหนื่อยกับการตกหมึกจนย่างเข้าเที่ยงคืน ก็ถึงเวลาที่สมาชิกทั้ง 10 คน จะต้องขอยอมแพ้สำหรับวันแรก เพื่อเก็บแรงไปเตรียมลุยกับน่านน้ำไทยในเช้าวันถัดมา พื้นที่บนเรือถูกใช้อย่างคุ้มค่าทุกตารางนิ้ว นักเดินทางผู้อ่อนล้าค่อย ๆ เอนตัวลงนอนกันอย่างเบียด ๆ บนไม้ทุกแผ่นที่มีอยู่

          ค่ำคืนอันมืดมิดที่มีเพียงเสียงคลื่นและลมพัดหวิวดังสนั่น ไม่สามารถสร้างความตื่นกลัวให้กับเหล่านักเดินทาง ที่ต้องนอนบนเรือโคลงเคลงเป็นครั้งแรกได้แม้แต่น้อย และไม่ว่าเหตุผลจะมาจากสิ่งใดก็ตาม แต่รุ่งอรุณของเช้าวันใหม่จะยังรออยู่ ให้หมู่นักเดินทางได้มุ่งหน้าไปสัมผัสกับการท่องเที่ยว แบบที่ชีวิตนี้จะไม่มีวันลืมเลือน


           ในที่สุดก็ถึงจุดที่จะถอดสมอ แล้วเริ่มบรรเลงเพลงไล่ล่า ปลาหมึกตัวเล็ก ๆ ขนาดพอดีควรทำเป็นหมึกยัดไส้ กลับถูกหัวหน้าทีมนักกระเต็นน้อย (ชมรมตกปลา) จับไปทำเป็นเหยื่อล่อ ปล่อยให้คนอ่อนหัดอย่างเรามองด้วยตาปริบ ๆ โดยหวังเล็ก ๆ จะให้เหยื่อเหล่านั้น ได้กลายเป็นอาหารอันโอชะหากการตกปลาไม่สำเร็จอย่างที่คิด

          เบ็ดตกปลานับสิบอันถูกนำมาตั้งจนรอบเรือ เพื่อรอปลาตัวโตมาติดกับ และแล้วเสียงเอียด ๆ ก็ดังขึ้นจากคันเบ็ดทางท้าย ซึ่งเพียงไม่กี่วินาทีไต๋จันทร์คนเมืองตาก ก็รีบวิ่งมาฉุดกระชากกับคันเบ็ดที่โก่งดั่งคันศรอยู่พักใหญ่ ก่อนจะบ่นพึมพำกับพวกเราว่า เบ็ดอาจเกี่ยวติดกับโขดหิน

          และแล้ว "โอ้ย…หลุดไปจนได้" คำพูดสั้น ๆ ที่ทำให้ลูกเรือต้องอ่อนใจก็ดังก้องขึ้นจนต้องนั่งจ๋องติดกับพื้น ซึ่งบางคนก็ตะโกนเสียงดังออกไปว่า "อยากกินปลาอินทรีย์ อยากกินปลาเก๋า" นี่แหละหนาบรรยากาศของคนทำบาปไม่ขึ้น ปลาทะเลหลายชนิดต่างดำผุดดำว่ายอยู่ในหัว แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้านักผจญภัยกลับมีเพียง คลื่น ลม และแสงแดดที่พร้อมแผดเผาให้ใบหน้านุ่มเนียนละมุนต้องไหม้เกรียม

          ความ รู้สึกหงอยเหงา และเรือที่โคลงเคลงอย่างที่ก้มหน้าแล้วอาจอ้วกพุ่ง ทำให้สมาชิกเกินกว่าครึ่งต้องของีบหลับกันเบา ๆ เวลานี้มีเพียงกำลังใจที่หดหายกับปลาหมึกตัวน้อยที่เหลือไม่ถึง 10 ชีวิตเพื่อประทังชีพ หากเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ เชื่อเราเถอะว่า คุณคงต้องเอ่ยปากถามไต๋เรือหรือไม่ก็นักตกปลามือฉมังว่า "เราจะจับปลาได้สักตัวไหม" ซึ่งคำตอบเท่ ๆ อย่าง "ได้สิ ในน้ำมีปลา" ของหนุ่มนักล่าก็ทำให้คนกรุงผู้ไม่ช่ำชองกับท้องทะเล ต้องแอบอมยิ้มและมีแรงฮึดอีกครั้ง ที่จะสนุกกับการลองมาใช้ชีวิตกลางสมุทร

          ปักหลักกันอยู่นาน จนดวงตะวันตั้งกลางหัว สมาชิกหลายคนเริ่มตื่นและบ่นด้วยความหิวโหย แต่เมื่อมองไปสุดสายตา ฉากสีดำทะมึนอยู่ไกลริบฟ้า ทำให้ไต๋เรือเริ่มวิตกว่าจะกลับเข้าฝั่งไม่ทัน แม้จะเห็นแสงแดดสาดส่องอยู่ก็ตาม

          คลื่นระลอกใหญ่โถมเข้าใส่เรือตังเกลำน้อยอย่างปุปปั๊ป และไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ลมค่อย ๆ แรงขึ้นเรื่อย ๆ สมาชิกทุกคนต่างวิ่งวุ่น เพราะคำสั่งของไต้ก๋งที่ตะโกนเสียงดังให้เรารีบขนของมาไว้ใต้หลังคา ที่มีเพียงแผ่นไม้ไม่กี่ฝา ขวดน้ำ จานชาม หรือแม้แต่อุปกรณ์ตกปลา ก็ถูกลำเลียงเข้าตัวเรือภายในเวลาไม่กี่วินาที ฝนเม็ดแรกเริ่มหยดลงที่แขนของสมาชิกคนหนึ่งบนลำเรือ เสียงตะโกนที่โห่ร้องว่า "ฝนตกแล้ว" ทำให้หลายคนนึกสนุกและตื่นเต้นกับการได้สู้กับสายฝนกลางท้องทะเล เรือสร้อยทางคำแล่นไปเพียงไม่ถึง 3 นาที ไต๋คนเก่งก็ตะโกนให้จุ่มโพ๊ะทอดสมอ ในจุดที่ไม่ใกล้ไม่ไกลกับเกาะแก่ง ซึ่งมีเขาลูกเล็ก ๆ คอยกันลมไม่ให้เรือน้อยจมหายไป


          "เป็นไงมั่ง รู้สึกจะร่วงไปแล้วหนึ่งนะ" เสียงวอที่ดังกังวานจากเรือพันธมิตร ได้บอกต่อถึงข่าวอันน่าสะพรึงกลัว จนทำให้ความเงียบสงัดพร้อมสีหน้าที่ซีดเผือด เข้ามาสวมแทนรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ณ เวลานี้ ไต้ก๋งแห่งเรือสร้อยทางคำไม่สามารถอยู่เป็นสุขได้ ผู้นำเรือที่กุมชีวิตนับ 10 วิ่งออกไปดูความเกลี้ยวกลาดของเกลียวคลื่น ในขณะที่น้ำทะเลยังคงซัดใส่ข้างลำเรือครั้งแล้วครั้งเล่า อย่างไม่มีทีท่าว่าจะสงบ สมาชิกบางคนขอนอนนิ่ง ๆ แล้วหลับตาพริ้ม โดยหวังในใจว่า ขอให้ได้กลับบ้านโดยไม่ต้องกลายเป็นศพ แต่ก็ยังมีบางคนที่เบิกตาโพรง เพื่อดูประสบการณ์ชีวิตที่น้อยคนนักจะได้สัมผัส

          เสียงวอจากวิทยุยังคงดังซู่ซ่า โดยแค่ละคำที่เปล่งออกมาก็ทิ่มแทงใจเหล่าคนเมืองให้รู้ซึ้งถึงคำว่า "ทะเลไม่เคยหลับ" เพราะนี่คือความจริงอันแสนคลาสสิก ซึ่งเราได้ดื่มด่ำกับมันมาแล้ว ไต๋จันทร์บอกกับเราว่า สิ่งที่ทุกคนกำลังเผชิญอยู่นี้ไม่ใช่แค่ฝนตก แต่นี่คือพายุฝนที่น่ากลัว เพราะความแรงทั้งจากสายน้ำและสายลมอาจทำให้เรือไม้ขนาด 8 วา ต้องแตกได้

          เป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วโมงที่ต้องเผชิญกับพายุฝน ทางข้างหน้าเริ่มเห็นเป็นภาพลาง ๆ และเพื่อไม่ให้สมาชิกต้องแตกตื่น และหวาดกลัวไปมากกว่านี้ ไต้ก๋งก็ตัดสินใจบอกจุ่มโพ๊ะ ให้ตระเตรียมอาหารมื้อเที่ยงในแบบที่เรียกว่า ฟูลออฟชั่น "เรารอดแล้ว" คือประโยคสั้น ๆ ที่ขณะนั้น ลูกเรือทั้ง 10 อยากตะโกนให้ลั่นท้องทะเลแสมสาร


            เมื่อความคลั่งค่อย ๆ จางไป ก็มาถึงเวลาที่จะนำเรือเข้าใกล้ฝั่ง แล้วหุงหาอาหารมื้อสุดท้ายบนท้องน้ำ สายฝนยังคงตกหยุมหยิมตลอดการเดินทาง เพื่อหาพิกัดดี ๆ พักทานข้าวเที่ยง ที่ต้องลากยาวมาเกือบบ่ายสามโมงเย็น เมนูในมื้อก่อนอำลาน่านน้ำไทยดูจะเปรมเป็นพิเศษ เพราะหมึกทุกตัวกับของสดที่เหลือ ถูกนำมาทำเป็นสารพัดจานเด็ดให้ได้ลิ้มลอง และแม้ว่าทุกคนจะหิวจนตาลาย แต่สุดท้ายก็ยังต้องรอ และรอกันอยู่นาน เนื่องจากพายุฝนที่นอกจากจะพัดขวัญให้หนีกระเจิงไปแล้ว มันยังแอบพัดฝาหม้อข้าวไปด้วย จนมื้อเที่ยงปาเข้าไปเกือบสี่โมงเย็น ข้าวจานน้อยบนเรือไม้ของวันที่สอง ซึ่งเหล่านักล่าแทบจะจับอะไรมายังชีพไม่ได้ซักอย่าง กลับกลายเป็นความรู้สึกอร่อย และอิ่มเอมใจกับการได้ใช้ชีวิตเยี่ยงชาวตังเก

          หาก ครั้งหนึ่งคุณมีโอกาสไปท่าเรือแสมสารในจังหวัดชลบุรี อย่าลืมที่จะถามหาไต๋จันทร์และออกไปผจญภัยกับความยิ่งใหญ่ ซึ่งจะทำให้ซึ้งใจว่า ทะเลไทยดูสวยและน่าจดจำกับการมาเยือน

          สำหรับทริปนี้ ขอแค่คำเดียว "อ้วก"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น