วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2554

สัมผัสทะเลกระบี่ ดินแดนมรกตแห่งอันดามัน


           
          นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวเจ๋ง ๆ ที่มีชื่อติดอันดับโลกอย่าง เกาะพีพี ทะเลแหวก เกาะลันตา อ่าวนาง หาดไร่เล สระมรกต และน้ำตกร้อนคลองท่อม แล้ว "จังหวัดกระบี่" ยังซุกซ่อนแหล่งท่องเที่ยวที่งดงามไว้อีกมากมาย โดยเฉพาะทะเลใสตัดกับท้องฟ้าสีคราม หาดทรายสีขาวละเอียดนุ่มเท้า หรือสถานที่ดำน้ำแจ่ม ๆ เพราะฉะนั้น วันนี้กระปุกดอทคอมเลยจะพาเพื่อน ๆ ไปสำรวจท้องทะเลกระบี่กันอีกสักคราค่ะ


              เริ่มกันที่ อ่าวท่าเลน แหล่งพายเรือคายักของจังหวัดกระบี่ อยู่ห่างจากตัวเมือง 35 กิโลเมตร เป็นโตรกผาสูงตระหง่าน น้ำทะเลสีเขียวใส เป็นเส้นทางพายเรือชมธรรมชาติที่สวยงาม ตามมาด้วย


         หมู่เกาะปอดะ ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของอ่าวนาง ห่างจากฝั่งประมาณ 8 กิโลเมตร เป็นเกาะที่มีหาดทรายขาว น้ำทะเลใส  บริเวณชายฝั่งของเกาะจะมองเห็นแนวปะการังหลากชนิดที่ยังสมบูรณ์ จึงเป็นแหล่งดึงดูดของนักท่องเที่ยวให้เที่ยวชมได้เกือบตลอดปี และเป็นจุดที่ตกปลาได้ดีเพราะไม่ได้รับผลกระทบจากลมมรสุมมากนัก สามารถเช่าเรือได้จากบริเวณอ่าวนาง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 25 นาที


            จากนั้นไปเยือน สุสานหอย ตั้งอยู่ที่ชายทะเลบ้านแหลมโพธิ์ ห่างจากตัวเมืองกระบี่ประมาณ 17 กิโลเมตร สภาพเป็นลานหินกว้างยื่นลงไปในทะเล เมื่อเข้าไปดูใกล้ ๆ จะเห็นเป็นซากหอยอัดแน่นจนกลายเป็นหาดหินริมทะเล ทั้งนี้ สุสานหอย คือซากดึกดำบรรพ์ของหอยขมน้ำจืด ที่ทับถมจับตัวกันบนชั้นหินลิกไนต์และหินดินดาน กลายเป็นลานหินขนาดกว้างใหญ่อยู่ริมทะเล

          สุสานหอยเช่นนี้มีเพียง 3 แห่งในโลก คือ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และที่บ้านแหลมโพธิ์ จังหวัดกระบี่ เท่านั้น นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ และเป็นหลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของโลก ช่วงแรกประมาณกันว่าสุสานหอยแห่งนี้เกิดขึ้นเมื่อ 75 ล้านปีมาแล้ว ต่อมาความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการค้นพบหลักฐานด้านธรณีวิทยามีมากขึ้น จึงกำหนดอายุของสุสานหอยใหม่เหลือประมาณ 40-20 ล้านปี


            ต่อด้วย หาดนพรัตน์ธารา อยู่ห่างจากตัวเมือง 17 กิโลเมตร การเดินทางจากตัวเมืองใช้เส้นทางหมายเลข 4034 จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าเส้นทาง 4202 ที่บ้านช่องพลี สุดเส้นทางจะเจอชายหาดมีความยาวเกือบ 3 กิโลเมตร เดิมชาวบ้านเรียกว่า "หาดคลองแห้ง"

          ทั้ง นี้ เพราะเมื่อน้ำลง น้ำคลองที่ไหลมาจากภูเขาทางด้านเหนือจะแห้งขอดกลายเป็นหาดทรายยาวเหยียดทอด ลงไปในทะเล บรรจบกับเกาะเขาปากคลอง บริเวณหาดเป็นทรายละเอียดปะปนด้วยเปลือกหอยเล็ก ๆ ประดับด้วยทิวสนเรียงรายตามชายทะเลยาวเหยียด เมื่อน้ำลงจนแห้งสามารถเดินไปยังเกาะเล็ก ๆ บริเวณหน้าชายหาดได้ บริเวณชายหาดมีที่ทำการอุทยานตั้งอยู่ จากที่ทำการอุทยานฯ เดินเท้าไปตามชายหาดด้านทิศตะวันตก มีบังกะโลหลายแห่งให้บริการนักท่องเที่ยว ชายหาดบริเวณนี้ค่อนข้างเงียบสงบ เป็นสถานที่ที่ชาวกระบี่นิยมไปเที่ยวพักผ่อนในวันสุดสัปดาห์


           เกาะยูง ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะพีพีดอน มีชายหาดเป็นหาดหินอยู่ทางด้านทิศตะวันออก และมีหาดทรายเล็กน้อยตามหลืบเขา นอกจากนี้ยังมีแนวปะการังสวยงามชนิดต่าง ๆ และ เกาะไม้ไผ่ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะพีพีดอน ไม่ไกลจากเกาะยูงเท่าใดนัก เป็นเกาะที่มีธรรมชาติสวยงามหาดทรายขาวสะอาด นำทะเลใสจนมองเห็นปะการังนำตื้น นักท่องเที่ยวนิยมมาเล่นนำและดูปะการังกัน บนเกาะมีสถานที่กางเต็นท์ สอบถามข้อมูลจากอุทยานฯ

          เกาะตะละเบ็ง อยู่ระหว่างท่าเรือบ่อม่วง-เกาะลันตา เป็นเกาะที่มีลักษณะเป็นหินปูน คล้ายเกาะพีพีเล มีชายหาดเล็ก ๆ และโพรงถ้ำซึ่งจะโผล่ให้เห็นได้เฉพาะเวลาน้ำลง มีนกนางแอ่นอาศัยอยู่บนเกาะด้วย ในกลุ่มนี้จะมีเกาะผีซึ่งอยู่ไปทางทิศเหนือ และยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสามารถพายเรือแคนูได้


           ปิดท้ายที่ เกาะไก่ ซึ่งตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ ธารา-หมู่เกาะพีพี เป็นเกาะรูปร่างปะหลาด ยอดเขาด้านหลังของเกาะ มีลักษณะเหมือนไก่ ในเวลาน้ำลดหาดทรายด้านหน้าเกาะไก่จะเชื่อมต่อกับหาดทรายของเกาะทับ เกิดเป็นปรากฏการณ์ทะเลแหวก Unseen Thailand

          และนี่เป็นเพียงสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัด กระบี่เพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราหยิบนำมาฝากกัน อยากรู้จักกระบี่มากกว่านี้ ต้องลองไปสัมผัสด้วยตาตัวเองนะครับ


การ เดินทาง

          กระบี่ อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 814 กิโลเมตร นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางสู่จังหวัดกระบี่ได้หลายวิธี ทั้งทางรถยนต์ส่วนตัว รถประจำทาง และเครื่องบิน

          โดยรถยนต์ : จากกรุงเทพฯ ไปกระบี่ได้ 2 เส้นทาง คือ

          1. ใช้ทางหลวงหมายเลข 4 (เพชรเกษม) ผ่านจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง พังงา ไปจนถึงกระบี่ ระยะทางประมาณ 946 กิโลเมตร

          2. ใช้ทางหลวงหมายเลข 4 (เพชรเกษม) จนถึงจังหวัดชุมพร แล้วต่อด้วยทางหลวงหมายเลข 41 ผ่านอำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร สู่อำเภอไชยา อำเภอเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 4035 ถึงอำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ แล้ววกเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 4 เพื่อเข้าสู่ตัวเมืองกระบี่ ระยะทางประมาณ 814 กิโลเมตร

          โดยรถประจำทาง : มีรถโดยสารธรรมดาและรถโดยสารปรับอากาศของบริษัท ขนส่ง จำกัด และของเอกชน สายกรุงเทพฯ-กระบี่ ออกจากสถานีขนส่งสายใต้ ถนนบรมราชชนนี ทุกวัน วันละหลายเที่ยว ใช้เวลาเดินทางประมาณ 11-12 ชั่วโมง สอบถามรายละเอียดได้ที่บริษัท ขนส่ง จำกัด โทรศัพท์ 1490 หรือ www.transport.co.th

          โดยเครื่องบิน : การบินไทยบริการเที่ยวบินประจำระหว่างกรุงเทพฯ-กระบี่ ทุกวัน โทรศัพท์ 0 2356 1111 หรือ www.thaiairways.com, สายการบินไทยแอร์เอเชียบริการเที่ยวบินกรุงเทพฯ-กระบี่ ทุกวัน โทรศัพท์ 0 2515 9999 หรือ www.airasia.com

เดินเล่น มิวเซียมสยาม พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้





มิวเซียมสยาม

          มิวเซียมสยาม ถือได้ว่าจุดเริ่มต้นในการเปลี่ยนทัศนคติและมุมมองเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ ให้กับประชาชนคนไทยส่วนใหญ่เลยก็ได้ว่า...พิพิธภัณฑ์ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อ หน่ายอีกต่อไป

          มิวเซียมสยาม หรือ พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ ตั้งอยู่บริเวณท่าเตียน ถนนสนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ ตัวอาคารเป็นกระทรวงพาณิชย์เดิม เคยได้รับรางวัลอนุรักษ์ศิลปะสถาปัตยกรรมดีเด่นจากคณะกรรมาธิการอนุรักษ์ ศิลปสถาปัตยกรรม สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์

          การจัดแสดงของพิพิธภัณฑ์ได้นำสื่อสร้างสรรค์ที่ทันสมัยเข้ามาช่วยสร้างความ น่าสนใจ ความเพลิดเพลิน และรุกเร้าความใคร่รู้ให้กับผู้เข้าเยี่ยมชมอยู่ตลอดเวลา ที่สำคัญรูปแบบและการเรียงลำดับเนื้อหาสามารถอธิบายถึงความเป็นมาของคนไทย ทั้งในมิติทางด้านชาติพันธุ์ ศิลปวัฒนธรรม และขนบธรรมเนียมประเพณีจนกลายมาเป็นชนชาติไทยในทุกวันนี้ได้อย่างน่าประทับใจ


              โดยทำการแบ่งเนื้อหาออกเป็นโซนต่าง ๆ ตามลำดับ ซึ่งพอจะลำดับความตามลักษณะของการชมให้เห็นภาพได้คร่าว ๆ ดังนี้.. (การเข้าชม ทางพิพิธภัณฑ์จะให้เริ่มชมจากบริเวณชั้นที่หนึ่ง จากนั้นต่อไปยังชั้นที่สาม ก่อนที่จะลงมาสิ้นสุดบริเวณชั้นที่สอง)

 ชั้นที่หนึ่ง

          ตึกเก่าเล่าเรื่อง : ห้องจัดแสดงความเป็นมาของอาคารกระทรวงพาณิชย์เดิม ผ่านการซ่อมแซมจนกลายเป็นมิวเซียมสยามในปัจจุบัน

          เบิกโรง : นำเข้าสู่การชมมิวเซียมสยามผ่านตัวละครที่จะพาเราย้อนกลับไปสู่ตำนานแห่ง สุวรรณภูมิ

          ไทยแท้ : ห้องแสดงวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ของไทย พร้อมประเด็นไขข้อข้องใจที่ว่าไทยแท้เป็นอย่างไร


 ชั้นที่สอง

          แผนที่ : ความยอกย้อนบนแผ่นกระดาษ ที่แบ่ง "เขา" และแยก "เรา" รวมไปถึงการสร้างชาติให้มีตัวตน

          กรุงเทพฯ : ภายใต้ม่านฉากแห่งอยุธยาที่ร่วงโรย พวกเขาสร้างชาติขึ้นใหม่บนแผ่นดินที่ชื่อบางกอก

          ชีวิตนอกกรุงเทพฯ : ห้องแสดงวิถีชนบทนอกกรุงเทพฯ ผ่านแนวคิดและภูมิปัญญา

          แปลงโฉมสยามประเทศ : การเปลี่ยนโฉมสยามประเทศครั้งใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ 5 และเรื่องราวของถนน

          กำเนิดประเทศไทย : เรื่องราวการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และกรมโฆษณาการ

          สีสันตะวันตก : การไหลบ่าของวัฒนธรรมตะวันตกภายหลังยุคสงครามโลกครั้งที่ 2

          เมืองไทยวันนี้ : อุโมงค์กระจกขนาดใหญ่ที่สะท้อนความเป็นไปของแผ่นดินแห่งนี้ตลอดช่วงสามพันปี ที่ผ่านมา

          มองไปข้างหน้า : ประเทศไทยวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร อยู่ที่ "เรา"


  ชั้นที่สาม

          เปิดตำนานสุวรรณภูมิ : สุวรรณภูมิ ชาติพันธุ์ในดินแดนที่ว่านี้เป็นใคร พวกเขาอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ต้นเลยหรือไม่

          สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ชาวสุวรรณภูมิ พวกเขาเกี่ยวข้องกับความเชื่อเรื่อง ผี พราหมณ์ พุทธ และพวกเราอย่างไร

          พุทธิปัญญา : หัวใจแห่งพุทธศาสนา มูลเหตุแห่งความใจกว้างและสันติ

          กำเนิดสยามประเทศ : อาณาจักรต่าง ๆ และการคลี่คลายของนครรัฐใหญ่น้อยก่อนกำเนิดเป็นกรุงศรีอยุธยา

          สยามประเทศ : ความรุ่งเรืองสมัยอยุธยา การค้าขาย การแผ่อิทธิพล และการผสมผสานทางวัฒนธรรม

          สยามยุทธ์ : การทำสงครามในสมัยอยุธยา รูปแบบ กลยุทธ์ และนัยยะแห่งสงครามที่ซ่อนเร้น

          นอกจากนิทรรศการถาวรดังกล่าวแล้ว มิวเซียมสยาม ยังมีนิทรรศการที่น่าสนใจและกิจกรรมต่าง ๆ ที่น่าสนใจสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียน ให้ผู้สนใจเข้าร่วมอยู่ตลอดทั้งปี โดยสามารถติดตามข่าวสารได้ทางเว็บไซต์ www.ndmi.or.th หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่หมายเลข 02-225-2777   


รู้ ก่อนเที่ยว มิวเซียมสยาม

          เปิดให้บริการทุกวัน ยกเว้นวันจันทร์ เวลาทำการ 10.00-18.00 น. หมายเหตุ ตั้งแต่เวลา 16.00 - 18.00 น. ของทุกวันทำการ

          อัตรา ค่าเข้าชม

          เข้าฟรี : เยาวชนไทยและต่างชาติอายุต่ำกว่า 15 ปีส่วนสูงต่ำกว่า 150 เซนติเมตร, พระภิกษุสงฆ์, ผู้พิการ และผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป

          เสียค่าบริการ : นักเรียน-นักศึกษา อายุ 15 ปีขึ้นไป 50 บาท, ผู้ใหญ่คนไทย 100 บาท และผู้ใหญ่ชาวต่างชาติ 300 บาท

          หมู่คณะ 5 คนขึ้นไป : นักเรียน-นักศึกษา 25 บาท, ผู้ใหญ่คนไทย 50 บาท และผู้ใหญ่ชาวต่างชาติ 150 บาท

          สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทรศัพท์ 0-2225-2777 เว็บไซต์ www.ndmi.or.th

อุทยานแห่งชาติลำน้ำกก ดินแดนของสายน้ำ


           ลัดเลาะออกจากตัวเมืองเชียงราย เพื่อไปเยียนดินแดนของสายน้ำ ลำน้ำกก ที่ไม่ได้มีดีแค่ทัศนียภาพอันสวยงามของลำน้ำกก แต่ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่เหมาะแก่การศึกษาพรรณไม้นานาชนิด ที่ยังรอคอยนักสำรวจทั้งหลายให้มาทำความรู้จักกัน และความน่าสนใจของอุทยานแห่งชาติลำน้ำกก มิได้มีเพียงเท่านั้น เพราะยังมีน้ำตก และบ่อน้ำร้อนที่เปรียบเสมือนของดีประจำอุทยานอีกด้วย

          และจากนี้ จะขอพาเพื่อน ๆ ไปรู้จักกับอุทยานแห่งชาติลำน้ำตก รวมถึง น้ำตก และบ่อน้ำร้อน ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของ อุทยานแห่งชาติลำน้ำกก กันคะ

          อุทยานลำน้ำกก ตั้งอยู่ในท้องที่อำเภอแม่จัน อำเภอเมือง อำเภอแม่สรวย และอำเภอมาลาว จังหวัดเชียงราย โดยมีเนื้อที่ครอบคลุมพื้นที่วนอุทยาน 3 แห่ง ได้แก่ วนอุทยานน้ำตกขุนกรณ์ วนอุทยานน้ำตกห้วยแก้ว-บ่อน้ำร้อนห้วยหมากเลี่ยม และวนอุทยานน้ำตกโป่งพระบาท

             ลักษณะภูมิประเทศของอุทยานแห่งชาติลำน้ำ กก มีลักษณะเป็นภูเขาสูงชันสลับกับที่ราบแคบ ๆ บริเวณหุบเขาเป็นหย่อมเล็ก ๆ ตอนเหนือและตอนใต้ของพื้นที่เป็นที่สูงลาดต่ำลงมาตอนกลางจะเป็นที่ราบลุ่ม น้ำสลับกับร่องเขา มีระดับความสูงตั้งแต่ 500-1,720 เมตร จากระดับน้ำทะเล มียอดดอยช้างเป็นดอยที่สูงที่สุด ซึ่งมีความสูงประมาณ 1,720 เมตร จากระดับน้ำทะเล เทือกเขาที่สำคัญในพื้นที่ได้แก่ ดอยยาว ดอยบ่อ ดอยช้าง ดอยผามูบ เป็นต้น มีแม่น้ำกกซึ่งเป็นแม่น้ำสายสำคัญของภาคเหนือตอนบนไหลผ่านที่ราบลุ่มตอนกลาง ของพื้นที่ โดยต้นน้ำเริ่มมาจากประเทศพม่าไหลผ่านเขตประเทศไทยที่ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงราย จากทางทิศตะวันตกสู่ทิศตะวันออก รวมระยะทางจากตำบลท่าตอนถึงพื้นที่อุทยานแห่งชาติประมาณ 85 กิโลเมตร

          นอกจากนั้นยังมีลำน้ำในพื้นที่อีก หลายสายที่เกิดจากต้นน้ำในเทือกเขาต่างๆ ในพื้นที่อันได้แก่ ห้วยแม่กรณ์ ห้วยแม่มอญ ห้วยย่าดี ห้วยชมภู ห้วยส้าน ห้วยแม่ซ้าย และห้วยเลาอ้าย ซึ่งลำห้วยต่างๆ เหล่านี้จะไหลไปรวมกันเป็นแม่น้ำสายใหญ่และไหลไปรวมกับแม่น้ำลาวและน้ำแม่กก ซึ่งเป็นแม้น้ำสายสำคัญของจังหวัดเชียงราย

            สำหรับสภาพอากาศสามารถแบ่งออกเป็น 3 ฤดู ได้แก่ ฤดูร้อนเริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม-เดือนพฤษภาคม, ฤดูฝน เริ่มตั่งแต่เดือนมิถุนายน-เดือนตุลาคม และฤดูหนาว เริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน-เดือนกุมภาพันธ์ โดยเดือนธันวาคมเป็นเดือนที่มีอุณหภูมิต่ำสุด เฉลี่ยประมาณ 5 องศาเซลเซียส ส่วนยอดดอยมีหมอกตลอดฤดูหนาว

          อุทยานแห่งชาติลำน้ำกก แบ่งพื้นที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจเป็น 2 ส่วน คือ น้ำตก และบ่อน้ำร้อน  โดยเฉพาะ น้ำตกขุนกรณ์ ที่เป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงในเรื่องของความสวยงาม และเป็นน้ำตกที่มีความสูงที่สุดในจังหวัดเชียงราย  โดยสถานที่ท่องเที่ยวในบริเวณอุทยานแห่งชาติลำน้ำกก มีดังนี้


  น้ำ ตกขุนกรณ์

          อยู่ห่างจากตัว เมืองเชียงรายประมาณ 34 กิโลเมตร เป็นน้ำตกที่มีธารน้ำที่ใสสะอาดปราศจากตะกอนหินปูนมีน้ำไหลตลอดทั้งปี ชาวบ้านมักเรียกกันว่า น้ำตกตาดหมอก  โดยมีความสูงกว่า 70 เมตร สำหรับเส้นทางเดินขึ้นสู่น้ำตกขุนกรณ์นั้น มีทั้งโขดหินและแก่งต่าง ๆ ซึ่งมีความสวยงามรายรอบไปด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด สภาพป่าโดยรอบมีความอุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง มีบรรยากาศร่มรื่นเหมาะสำหรับการพักหย่อนใจ

น้ำตกปางสา

          มีทั้งหมด 7 ชั้น แต่ละชั้นมีความสวยงามแตกต่างกันไป ชั้นที่สูงที่สุดประมาณ 70 เมตร โดยพื้นที่รอบ ๆ น้ำตกมีความสวยงามไปด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด สภาพป่าโดยรอบมีความอุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายทางชีวภาพ เหมาะสำหรับการศึกษาและการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เป็นอย่างมาก

น้ำตกโป่งพระบาท

          อยู่ห่างจากตัว เมืองเชียงรายไปทางทิศเหนือตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 110 (เชียงราย-แม่จัน) ระยะทาง 14 กิโลเมตร เป็นน้ำตกที่มีลักษณะแก่งหิน ธารน้ำใสฟูขาวสะอาด ภายใต้สภาพอากาศอันร่มรื่น สถานที่โดยรอบประกอบด้วยพรรณไม้สวยงาม เหมาะสำหรับเป็นสถานที่พักผ่อนและเที่ยวชมความงามทางธรรมชาติ


น้ำตก ห้วยก้างปลา

          ตั้งอยู่ที่หน่วย พิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ ลก,3 (น้ำตกห้วยก้างปลา) บ้านห้วยก้างปลา หมู่ 15 ตำบลป่าตึง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ตัวน้ำตกมีความสูงประมาณ 20 เมตร สภาพโดยรอบเป็นป่าสนซึ่งสภาพป่ามีความอุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายทาง ชีวภาพ น้ำตกห้วยก้างปลาห่างจากอำเภอแม่จันประมาณ 11 กิโลเมตร สามารถเดินทางโดยรถยนต์โดยสารหรือรถส่วนบุคคลอีกประมาณ 10 กิโลเมตรถึงบ้านลั๊วพัฒนาแล้วเลี้ยวซ้ายไปอีกประมาณ 3 กิโลเมตรถึงบ้านห้วยก้างปลาแล้วเดินทางด้วยเท้าอีกประมาณ 800 เมตรก็จะถึงน้ำตกห้วยก้างปลา

น้ำตกห้วยแก้ว

          อยู่ห่างจากตัว เมืองเชียงรายประมาณ 25 กิโลเมตร ไปทางทิศตะวันตกตามถนนสายเชียงราย-สี่แยกบ้านเด่นห้า เป็นน้ำตกที่เกิดจากลำน้ำห้วยแก้วไหลลงสู่ห้วยโป่งน้ำร้อน และไหลลงสู่แม่น้ำกก ตัวน้ำตกมีทั้งหมด 3 ชั้น แต่ละชั้นมีความสวยงามแตกต่างกันออกไป ชั้นที่ 1 มีความสูงประมาณ 30 เมตร ชั้นที่ 2 เป็นชั้นที่สูงที่สุดคือ ประมาณ 40 เมตร และชั้นที่ 3 มีความสูงประมาณ 10 เมตร พื้นที่โดยรอบมีพรรณไม้นานาชนิดที่หายากและแปลกตา นกนานาชนิดที่ส่งเสียงร้องเรียกให้เข้าไปค้นหาและสัมผัส น้ำไหลตลอดปี

น้ำตกห้วยแม่ซ้าย

          เป็นน้ำตกที่เกิด จากลำน้ำห้วยแม่ซ้ายที่มีน้ำไหลในปริมาณที่สม่ำเสมอตลอดปี น้ำตกแห่งนี้มี 2 ชั้น มีความสูงประมาณ 15 เมตร และ 20 เมตร ตามลำดับ แต่ละชั้นมีความสวยงามแตกต่างกันไป และสามารถสัมผัสได้กับทัศนียภาพและความร่มรื่นของธรรมชาติโดยรอบของน้ำตกได้ อีกในบรรยากาศหนึ่ง


บ่อ น้ำร้อนโป่งฟูเฟือง

          ซึ่งห่างจากแยกทาง หลวงแผ่นดินสายแม่สรวย-เชียงราย ประมาณ 1.8 กิโลเมตร บ่อน้ำร้อนโป่งฟูเฟืองซึ่งมีทั้งหมดจำนวน 2 บ่อ และมีอุณหภูมิสูงประมาณ 75 องศาเซลเซียส


บ่อ น้ำร้อนห้วยหมากเลี่ยม

          อยู่ห่างจากตัว เมืองเชียงราย 20 กิโลเมตร บ่อน้ำร้อนแห่งนี้เป็นบ่อน้ำร้อนธรรมชาติที่เกิดจากความร้อนใต้พิภพที่มีน้ำ ร้อนผุดขึ้นมาตลอดเวลา เป็นที่นิยมนำไข่ไปแช่ ใช้เวลานานประมาณ 30 นาที ไข่จะมีรสชาติมันและอร่อยกว่าไข่ต้มธรรมดา และบริเวณโดยรอบมีทิวทัศน์ที่สวยงามของแม่น้ำกกมีสถานที่กางเต็นท์พักแรม สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการค้างแรม

ล่องแพลำน้ำกก

          ล่องแพลำน้ำกกเป็น แม่น้ำที่ขึ้นชื่อของจังหวัดเชียงรายที่ไหลทอดยาวไปตามพื้นที่ราบเชิงเขาจาก ทิศตะวันตกไปทิศตะวันออก โดยมีจุดเริ่มต้นจากบ้านท่าตอน ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงราย ไหลผ่านตัวเมืองเชียงรายแล้วไหลไปบรรจบแม่น้ำโขง ที่อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย มีระยะทางจากตำบลท่าตอน ถึงอำเภอเมืองเชียงราย ประมาณ 80 กิโลเมตร
  
          สำหรับสิ่งนวยความสะดวกภายในอุทยานแห่งชาตินั้น เนื่องจากว่าอุทยานแห่งชาติลำน้ำกก เป็นอุทยานแห่งชาติที่พึ่งมีการจัดตั้งขึ้นมาใหม่  ทำให้ยังไม่มีที่พักไว้บริการนักท่องเที่ยว มีแต่สถานที่กางเต็นท์ให้บริการนักท่องเที่ยวเท่านั้น ซึ่งหากสนใจที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวที่อุทยานแห่งชาติ นักท่องเที่ยวต้องจัดเตรียมเต็นท์และอาหารไปเอง


การเดินทาง

          ทางรถยนต์  เมื่อขับรถออกจากจังหวัดเชียงราย ให้วิ่งไปตามถนนเชียงราย - สี่แยกบ้านเด่นห้า ผ่านหน้าค่ายเม็งรายมหาราชเข้าสู่ตำบลดอยฮาง จนถึงบ้านผาเสริฐ ระยะทางประมาณ 19 กิโลเมตร แล้วเดินทางต่อไปยังที่ทำการอุทยานแห่งชาติบริเวณห้วยหมากเลี่ยมอีก 1.5 กิโลเมตร หรือจะล่องมาตามลำน้ำกกด้วยเรือหางยาวหรือแพจากสะพานลำน้ำกกในตัวเมือง เชียงราย ถึงบริเวณห้วยหมากเลี่ยม ประมาณ 20 กิโลเมตร

          ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติลำน้ำกก  ตำบลดอยฮาง  อำเภอเมืองเชียงราย  จังหวัดเชียงราย   57000 โทร.  0 5360 9238

ฉลองวัดโพธิ์มรดกโลก จัดงานใหญ่ย้อนยุค พ.ย.นี้


ฉลองวัดโพธิ์มรดกโลก จัดงานใหญ่ย้อนยุค พ.ย.นี้

          เผย "จารึกรัชกาลที่ 1" แห่งวัดพระเชตุพนฯ อายุกว่า 200 ปีเก่าแก่ที่สุดในจารึกวัดโพธิ์ ที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำแห่งโลกของยูเนสโก เตรียมจัดงาน สมโภชฉลองยิ่งใหญ่ช่วงเดือน พ.ย.54 จำลองบรรยากาศย้อนยุคสมัยรัชกาลที่ 1-3

          เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร หรือวัดโพธิ์ คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยแผนงานความทรงจำแห่งโลกขององค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก แถลงข่าวการประกาศรับรองจารึกวัดโพธิ์เป็นมรดกความทรงจำแห่งโลกในทะเบียน นานาชาติแล้วเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคมที่ผ่านมา ณ เมืองแมนเชสเตอร์ สหราชอาณาจักร

          คุณหญิงแม้นมาส ชวลิต ประธานคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยแผนงานความทรงจำแห่งโลกฯ ประเทศไทย กล่าวว่า จารึกวัดโพธิ์ที่ได้ขึ้นทะเบียนมรดกความทรงจำแห่งโลกมีจำนวน 1,440 ชิ้น แบ่งเป็นความเรียงและบทกลอน มีเนื้อหาสาระแยกออกเป็นหมวดหมู่ที่รวบรวมสรรพวิชาต่าง ๆ เพื่อให้ผู้คนทุกชนชั้นได้ศึกษา เช่น ภูมิปัญญาการรักษาโรคด้วยการนวด ซึ่งเป็นความรู้ที่มีประโยชน์ตกทอดมาถึงคนรุ่นหลัง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมความรู้ที่มีตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยานำมาจารึกไว้ เพราะเกรงว่าจะสูญหาย

          "จารึก วัดโพธิ์มีคุณค่าในด้านความเป็นหนึ่งเดียวที่ไม่อาจทดแทนได้ หากสูญหายหรือเสื่อมสภาพนับเป็นอันตรายใหญ่หลวงต่อมนุษยชาติ หาเอกสารอื่นใดมาเปรียบเทียบไม่ได้ ด้านความเป็นของแท้ ไม่ใช่สำเนาลอกเลียนหรือของปลอม และด้านความเป็นสากลคือ เป็นเอกสารที่ผลิตขึ้นในช่วงเวลาสำคัญในอดีต และมีความสำคัญต่อเนื่องยั่งยืนตลอดไป ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม โดยเฉพาะเรื่องฤาษีดัดตนเป็นความรู้ที่สากลมาก" คุณหญิงแม้นมาสกล่าว

          เนื้อหาจารึกวัดโพธิ์แบ่งเป็นหมวดประวัติศาสตร์ มีจารึกรัชกาลที่ 1 เรื่องสร้างวัดพระเชตุพนฯ จารึกรัชกาลที่ 1 เรื่องพระธาตุนครน่าน รายการปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนฯ ถอดจากโคลงดั้น และรายการแบ่งด้านปฏิสังขรณ์ถอดจากโคลง


           หมวดพระพุทธศาสนา มีจารึกเรื่องพระสาวกเอตทัคคะ จารึกเรื่องอุบาสกเอตทัคคะ จารึกเรื่องอุบาสิกาเอตทัคคะ จารึกเรื่องอศุภ 10 และญาณ 10 จารึกเรื่องฎีกาพาหุง จารึกเรื่องพระพุทธบาท จารึกเรื่องธุดงค์ 13 จารึกเรื่องชาดก ตอนนิทานกถา จารึกเรื่องมหาวงศ์ จารึกเรื่องนิรกถา และจารึกเรื่องเปรตกถา

          หมวดวรรณคดี จารึกเรื่องนารายณ์ 10 ปาง และเรื่องเบื้องต้นรามเกียรติ์ จารึกเรื่องสิบสองเหลี่ยม หมวดทำเนียบ เรื่องสมณศักดิ์ และหัวเมืองขึ้นกรุงสยาม หมวดประเพณี เรื่องเมืองมอญกวนข้าวทิพย์ เรื่องมหาสงกรานต์และริ้วกระบวนแห่กฐินพยุหยาตราสถลมารค จำพวกบทกลอน อาทิ โคลงดั้นเรื่องการปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนฯ และโคลงบอกด้านการปฏิสังขรณ์ จารึกตำราฉันท์วรรณพฤติ จารึกตำราฉันท์มาตราพฤติ จารึกตำราเพลงยาวกลบท จารึกตำราโคลงกลบท และจารึกโคลงภาพเรื่องรามเกียรติ์ จารึกฉันท์กฤษณาสอนน้อง และจารึกฉันท์พาลีสอนน้อง

          พระราชเวที ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ กล่าวว่า จารึกรัชกาลที่ 1 เรื่องสร้างวัดพระเชตุพนฯ มีอายุกว่า 200 ปี มีความเก่าแก่ที่สุดและมีขนาดใหญ่ที่สุดของจารึกวัดโพธิ์ทั้งหมด 1,440 ชิ้น มีเนื้อหาการสร้างวัดเริ่มเมื่อปี 2331 อธิบายกระบวนการสร้างวัดอย่างเป็นแบบแผนประเพณี มีการอัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญจากกรุงศรีอยุธยาและสุโขทัยมาประดิษฐานที่วัด โดยใช้เวลา 7 ปี 5 เดือน 28 วัน จึงแล้วเสร็จ และโปรดเกล้าฯ ให้จารึกลงบนแผ่นหินชนวนติดไว้ที่พระวิหารทิศตะวันออก ซึ่งประดิษฐานพระพุทธโลกนาถศาสดาจารย์ พระพุทธรูปยืนสูง 10 เมตร หล่อด้วยสำริด อัญเชิญมาจากวัดพระศรีสรรเพชญ์กรุงเก่า หลังจากนั้นมีพิธีสมโภชฉลองวัดปี 2344 พระราชทานนามว่าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาวาศ

          "มีข้อความที่น่าสนใจมากในจารึกรัชกาลที่ 1 คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงตั้งพระราชปณิธานว่า จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมโพธิญาณ หรือเป็นพระพุทธเจ้าในภายภาคหน้า" ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโพธิ์เผย

          พระราชเวทีกล่าวอีกว่า ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่นานถึง 16 ปี 7 เดือน ในครั้งนั้นพระองค์ทรงมีพระราชประสงค์ให้วัดโพธิ์เป็นสถานศึกษาให้ความรู้ แก่คนทั่วไปโดยไม่เลือกชนชั้นวรรณะ และระดมนักปราชญ์ราชบัณฑิต พระสงฆ์ ช่วยกันรวบรวมสรรพวิชาต่างๆ พร้อมจารึกไว้เป็นมรดกแก่ลูกหลานไทยได้เรียนรู้กันอย่างไม่รู้จบสิ้น เนื่องจากทรงมีพระราชดำริว่า การพัฒนาประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรืองได้นั้นจะต้องพัฒนาคนให้มีการศึกษาเป็น รากฐานสำคัญ

          ดังนั้น เมื่อจารึกวัดโพธิ์ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำแห่งโลกแล้ว ทางวัดจะมีการจัดงานสมโภชฉลองเนื่องในโอกาสดังกล่าว คาดว่าจะเป็นช่วงวันที่ 19-27 พฤศจิกายน 2554 เพื่อประกาศให้คนไทยและชาวต่างชาติเข้ามาศึกษาจารึกวัดโพธิ์ให้มากยิ่งขึ้น โดยรูปแบบการจัดงานจะเน้นจำลองบรรยากาศโบราณในสมัยรัชกาลที่ 1 ที่เคยจัดเมื่อ 200 ปีก่อน ในหลักฐานเอกสารระบุรายละเอียดว่า มีการจัดมหรสพ การละเล่นต่าง ๆ รวมทั้งการเทศนาธรรมด้วย

          ส่วนแผนการอนุรักษ์จารึกวัดโพธิ์ คณะกรรมการแห่งชาติฯ ได้ร่วมมือกรมศิลปากรดำเนินการดูแลและปกป้องสมบัติอันล้ำค่าของชาติให้คงทน ปลอดภัย และไม่ถูกภัยธรรมชาติ น้ำท่วม แผ่นดินไหว และฝีมือมนุษย์ทำลายจนเสียหายได้ จากนี้ไปจะเผยแพร่จารึกวัดโพธิ์ให้เข้าถึงประชาชนมากที่สุด


[16 มิถุนายน] ยูเนสโกรับรองจารึกวัดโพธิ์ เป็นมรดกโลก

          ยูเนสโกประกาศรับรองจารึกวัดโพธิ์เป็นมรดกความทรงจำแห่งโลกแล้ว เผยมีทั้งหมด 1,440 ชิ้น คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยแผนงานความทรงจำแห่งโลกฯ นัดแถลงข่าว


          คุณหญิงแม้นมาส ชวลิต ประธานคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยแผนงานความทรงจำแห่งโลก ขององค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) เปิดเผยเมื่อวันที่ 15 มิถุนายนนี้ ว่า ตาม ที่คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยแผนงานความทรงจำแห่งโลกฯ ได้เสนอจารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร หรือวัดโพธิ์ ต่อยูเนสโก เพื่อพิจารณาขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำแห่งโลกในระดับนานาชาตินั้น ขณะนี้ได้รับรายงานจาก ม.ร.ว.รุจยา อาภากร กรรมการในคณะกรรมการว่าด้วยแผนงานมรดกความทรงจำของไทย ว่า ยูเนสโกได้ ประกาศรับรองจารึกวัดโพธิ์เป็นมรดกความทรงจำแห่งโลกในทะเบียนนานาชาติ (International Register) แล้ว ในการประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษานานาชาติว่าด้วยแผนงานความทรงจำแห่งโลกของยู เนสโก ครั้งที่ 10 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคมที่ผ่าน ณ เมืองแมนเชสเตอร์ สหราชอาณาจักร
          คุณหญิงแม้นมาสกล่าวว่า วัดโพธิ์เคยได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำของโลกของภูมิภาค เอเชีย-แปซิฟิก (Regional Register) เมื่อปี 2551 หลังจากนั้นคณะกรรมการแห่งชาติฯ ได้ดำเนินการสำรวจจัดทำทะเบียนและถ่ายภาพแผ่นจารึกวัดโพธิ์จำนวน 1,440 ชิ้น และจัดทำแผนอนุรักษ์ตามแนวทางของยูเนสโก ซึ่งคณะกรรมการแห่งชาติฯ เห็นว่าควรเสนอจารึกวัดโพธิ์ให้ขึ้นบัญชีนานาชาติด้วย ตนและคณะกรรมการฯ จึงได้เสนอให้ยูเนสโกพิจารณาเมื่อเดือนมกราคม 2554 และได้ผ่านขั้นตอนต่าง ๆ ของยูเนสโก จนถึงขั้นตอนสุดท้าย เมื่อที่ประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษานานาชาติว่าด้วยแผนงานความทรงจำแห่งโลก ของยูเนสโก ครั้งที่ 10 ที่เมืองแมนเชสเตอร์ มีมติเอกฉันท์ให้จารึกวัดโพธิ์เป็นมรดกความทรงจำแห่งโลกในทะเบียนนานาชาติ ทั้งนี้ จารึก วัดโพธิ์มีเรื่องวิชาความรู้ที่มีลักษณะที่เป็นสากล ไม่ใช่ความรู้เฉพาะในประเทศไทย เช่น เรื่องพระพุทธศาสนา เรื่องวรรณกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งจารึกเรื่องฤๅษีดัดตนเป็นสากลมาก


           ประชุม จารึกวัดโพธิ์ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำแห่งโลกมีจำนวน 1,440 ชิ้น แบ่งเป็น 5 หมวด อาทิ หมวดประวัติศาสตร์ ได้แก่ จารึกรัชกาลที่ 1 เรื่องสร้างวัดพระเชตุพนฯ และเรื่องพระธาตุนครน่าน รายการปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนฯ ถอดจากโครงดั้น รายการแบ่งด้านปฏิสังขรณ์ถอดจากโครง หมวดพระพุทธศาสนา ได้แก่ จารึกเรื่องพระสาวกเอกทัคคะ จารึกเรื่องอุบาสกเอกทัคคะ จารึกเรื่องอุบาสิกาเอกทัคคะ จารึกเรื่องอศุภ 10 และญาณ 10 จารึกเรื่องฎีกาพาหุง จารึกเรื่องพระพุทธบาท จารึกเรื่องธุดงค์ 13 จารึกเรื่องชาดก ตอนนิทานกถา จารึกเรื่องมหาวงศ์ จารึกเรื่องนิรยกถา จารึกเรื่องเปรตกถา

          ส่วนหมวดวรรณคดี อาทิ จารึกเรื่องนารายณ์ 10 ปาง และเรื่องเบื้องต้นรามเกียรติ์ จารึกเรื่องสิบสองเหลี่ยม หมวดทำเนียบ ได้แก่ ทำเนียบสมณศักดิ์ ทำเนียบหัวเมืองขึ้นกรุงสยาม และหมวดประเพณี ได้แก่ จารึกเรื่องเมืองมอญกวนข้าวทิพย์ จารึกเรื่องมหาสงกรานต์ จารึกริ้วกระบวนแห่กฐินพยุหยาตราทางสถลมารค
 

          อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยแผนงานความทรงจำแห่งโลกฯ จะแถลงข่าวเรื่องดังกล่าววันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน เวลา 14.00 น. ณ ศาลาธรรมปัญญาบดี ที่วัดโพธิ์

เทศกาลท่องเที่ยวดอกกระเจียวงาม จังหวัดชัยภูมิ


เทศกาลท่องเที่ยวดอกกระเจียวงาม จังหวัดชัยภูมิ ประจำปี 2554

          จังหวัดชัยภูมิ ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานนครราชสีมา และหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ขอเชิญทุกท่านร่วม "หยิบหมอก หยอกดอกกระเจียว" งานเทศกาลท่องเที่ยวดอกกระเจียวงามจังหวัดชัยภูมิ ประจำปี 2554 ในระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน – 31 สิงหาคม 2554 ณ อุทยานแห่งชาติป่าหินงามอำเภอเทพสถิต และอุทยานแห่งชาติไทรทอง อำเภอหนองบัวระเหว จังหวัดชัยภูมิ

          กิจกรรมที่น่าสนใจอื่น ๆ อาทิ ขบวนแห่กระเจียวคืนทุ่ง การแสดงดนตรีจากนักเรียนของอำเภอเทพสถิต การแข่งขันเดินเพื่อการกุศล ชมสวนหินงามป่าหินล้านปีที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติ ปั้นแต่งตามแต่จะสุดจินตนาการ การแสดง และจำหน่ายสินค้าที่มีชื่อเสียงของจังหวัดชัยภูมิ  

          อีกทั้งทุ่งดอกกระเจียวสีขาว สีเขียว และสีชมพูอมม่วง น้ำตกไทรทอง และจุดชมวิวผาหำหดของอุทยานแห่งชาติไทรทอง ก็เป็นอีกสถานที่ที่รอการมาเยือนของนักท่องเที่ยว ให้เดินทางท่องเที่ยวด้วยหัวใจใหม่ อันจะส่งผลให้การท่องเที่ยวของจังหวัดชัยภูมิยั่งยืนได้ 

          "และนี่จะเป็น 3 เดือน ฤดูฝนแห่งความสวยงาม อันจะทำให้เกิดกระแสการเดินทางมาเยือนเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ กว่า 6 แสนคน และกว่า 40 ล้านบาท กระจายทั่วเมืองชัยภูมิ" นายอรรถพล วรรณกิจ ผอ.สนง.ททท.สนง.นครราชสีมา กล่าวทิ้งท้าย

งานประเพณีบุญหลวง การละเล่นผีตาโขน ประจำปี 2554


ตื่นตากับงานประเพณีบุญหลวง และการละเล่นผีตาโขน ประจำปี 2554

          จังหวัดเลย โดยอำเภอด่านซ้าย และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเลย ขอเชิญนักท่องเที่ยวหัวใจใหม่ร่วมงานประเพณีที่ยิ่งใหญ่ตระการตา "งานประเพณีบุญหลวง และการละเล่นผีตาโขน" อ.ด่านซ้าย จ.เลย ในวันที่ 1 - 3 กรกฎาคม 2554 ณ วัดโพนชัย และบริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอด่านซ้าย


              นางอัจฉพรรณ บุญเจริญ ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานเลย กล่าวว่า ประเพณีดังกล่าว เป็นประเพณีที่รวมเอา "งานบุญพระเวส" (ฮีตเดือนสี่) และ "งานบุญบั้งไฟ" (ฮีตเดือนหก) เข้าไว้เป็นงานบุญเดียวกัน ในงานบุญหลวงนี้จะมีขบวนแห่ที่สร้างสีสันตื่นตาและจังหวะเร้าใจของ "ผีตาโขน" หรือ "ผีตามคน" หน้ากากที่มีลักษณะเด่นของศิลปะการแต่งแต้มลวดลายและสีสันที่งดงาม และในปีนี้ ททท.สำนักงานเลย ได้จัดแสดงนิทรรศการให้ความรู้เรื่องหน้ากากนานาชาติต่าง ๆ ได้แก่ ไทย จีน อินโดนีเซีย ลาว เกาหลี ญี่ปุ่น และเวียดนาม พร้อมการสาธิตการทำหน้ากาก จากผู้แทนเมืองอันดง ประเทศเกาหลีอีกด้วย


             พิธีกรรมที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ได้แก่ พิธีเบิกพระอุปคุต พิธีบายศรีสู่ขวัญเจ้าพ่อกวน-เจ้าแม่นางเทียม ขบวนรถเทิดพระเกียรติ เนื่องในโอกาสเฉลิม-ฉลอง "๘๔ พรรษา" พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขบวนแห่ผีตาโขน ขบวนแห่เจ้าพ่อกวน-เจ้าแม่นางเทียม และคณะพ่อแสน พิธีบายศรีสู่ขวัญพระเวส ขบวนพิธีอัญเชิญพระเวสสันดรเข้าเมือง พิธีจุดบั้งไฟบูชาพญาแถน พิธีทิ้งหน้ากากผีตาโขน พิธีเทศน์มหาชาติ13กัณฑ์ ขบวนแห่กัณฑ์หลอนของหมู่บ้านต่าง ๆ พร้อมด้วยการแสดงบนเวทีที่ยิ่งใหญ่


                 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ อำเภอด่านซ้าย โทรศัพท์ 042-891266, สำนักงานวัฒนธรรมอำเภอด่านซ้าย โทรศัพท์ 083-1453080, ฝ่ายประชาสัมพันธ์ (สวท.ด่านซ้าย) โทรศัพท์ 0-4289-1168 0-4289-1238, เทศบาลตำบลด่านซ้าย โทรศัพท์ 0-4289-1231 และ ททท. สำนักงานเลย โทรศัพท์ 0-4281-2812 /0-4281-1405/tatloei@tat.or.th

แวะเขาใหญ่ เที่ยวน้ำตกเหวนรก



แวะเขาใหญ่ เที่ยวน้ำตกเหวนรก

          ชื่อของ "น้ำตกเหวนรก" อาจทำให้หลายคนคิดถึง น้ำตกที่มีช้างตกลงไปเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก บวกกับชื่อที่ฟังดูพาขนลุก ทำให้นักท่องเที่ยวบางคนออกอาการหวาดกลัวตั้งแต่ยังไม่ได้ไปเยือน
         
          สำหรับ "น้ำตกเหวนรก" นั้น เป็นน้ำตกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดภายในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และใหญ่ที่สุดในภาคกลาง เป็นแหล่งต้นน้ำของลำธารหลายสายที่ไหลมารวมกัน ก่อนจะไหลลงหน้าผาที่ตั้งฉากกับพื้นดิน 90 องศา แบ่งออกเป็น 3 ชั้นใหญ่ๆ ชั้นแรกมีความสูงราว 60 เมตร และไหลลงไปสู่ผาน้ำตกชั้นที่ 2 และ 3 ที่มีความสูงรวมกันกว่า 100 เมตร และจากความสูงขนาดนี้ สายน้ำที่ตกกระทบเบื้องล่างจึงมีเสียงดังกึกก้อง แถมมีละอองน้ำฟุ้งกระจายอยู่ทั่วไปในอากาศ



         จะเข้าถึงน้ำตกชั้นแรกได้ต้องเดินเท้าเข้าไปประมาณ 1 กิโลเมตร หากไปในช่วงหน้าฝน สิ่งที่ต้องระวังเป็น พิเศษ นอกจากความลื่นแล้ว ก็คือ "ทาก" ซึ่งเป็นเหมือนตัวบ่งชี้ความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า หากมีสัตว์ป่าเยอะ ทากก็จะเยอะตามไปด้วย ส่วนวิธีการกำจัดทากก็ง่ายๆ เดี๋ยวนี้มีถึงผ้าสวมเท้ากันทากจำหน่ายมากมาย หากไม่ได้เตรียมมาจริงๆ วิธีที่ง่ายที่สุดคือเดินไปเรื่อยๆ อย่าหยุด เพราะเมื่อไรที่ยืนนิ่งอยู่กับที่ "ทาก" จะมาเยือนทันที

          เดินไปจนถึง 200 เมตรสุดท้าย จะเป็นบันไดทางลงสู่จุดชมวิวน้ำตกเหวนรกชั้นที่ 1 ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเป็นบันไดไม้ แต่เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว จึงมีการปรับปรุง เปลี่ยนเป็นบันไดเหล็ก แต่ไม่ว่าจะเป็นบันไดไม้หรือเหล็ก ก็มีความชันมากไม่แพ้กัน เมื่อลงบันไดไปถึงชั้นล่าง จะพบระเบียงที่จัดไว้สำหรับให้นักท่องเที่ยวได้หามุมเก็บภาพเป็นที่ระลึก และด้วยความสวยของน้ำตก ทำเอาหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง


           ขาลงมักไม่ใช่ปัญหา หากค่อยๆ เดินลงอย่างช้าๆ แต่ตอนขึ้นนี่สิ หน้ามืดตั้งแต่ยังไม่ก้าวขา เดินไปสักระยะเริ่มเกาะราวเหล็ก ขาอ่อน เดินหลังค่อม หายใจแรง และดมยาเป็นขั้นตอนสุดท้าย จนมีหลายคนเก็บมาแซวว่า ใครที่มาน้ำตกเหวนรก ต้องเห็น "ขาอ่อนสาวลาว" ตอนแรกก็เถียงคอเป็นเอ็นว่าไม่เห็นจะมีสาวลาวที่ไหนมาเล่นน้ำให้เห็นเลย แต่หลังจากเฉลยจึงได้รู้ว่า "ขาอ่อนสาวลาว" ที่ว่าต้องเปลี่ยนจาก "ลาว" เป็น "ราว"

          นอก จาก "น้ำตกเหวนรก" แล้ว ที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ยังมีน้ำตกที่สวยงามอีกหลายแห่งให้ได้เที่ยวชม ไม่ว่าจะเป็น น้ำตกผากล้วยไม้ น้ำตกเหวไทร น้ำตกเหวประทุน ฯลฯ

          จะสวยขนาดไหน และจะเห็น "ขาอ่อนสาวราว" หรือไม่ ต้องไปดูกัน

หมายเหตุ

          การเดินทาง ใช้ได้ 2 เส้นทาง คือ...

          1. ทางนครราชสีมา จากถนนวิภาวดี-รังสิต ยึดเส้นทางสาย 1 สระบุรี ผ่าน อ.มวกเหล็ก เลี้ยวขวาเข้าถนนสาย 2090 ถนนธนรัชต์ วิ่งตรงไปอีกประมาณ 25 กม. จะถึงด่านอุทยาน

          2. ทางปราจีนบุรี จากถนนวิภาวดี-รังสิต ยึดเส้นทางสาย 305 นครนายก เลี้ยวขวาเข้าถนนสาย 33 ผ่านวงเวียนนเรศวรให้เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวง 3077 ตรงไปจนถึงด่านอุทยาน

          สอบถามเพิ่มเติมได้ที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ โทร. 037 - 319002