วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เที่ยวทุ่งทานตะวัน จ. ลพบุรี


            ขอแนะนำสถานที่ท่องเที่ยว จะชวนเพื่อนๆชาวไทยสบายไปเที่ยวที่จังหวัดลพบุรี เพราะที่นั่นมีการปลูกทานตะวันมากที่สุดในประเทศไทย จนกลายเป็นทุ่งทานตะวัน คือ ประมาณ 200,000 – 300,000 ไร่ ดอกทานตะวันจะบานสะพรั่งในช่วงเดือนพฤศจิกายน – มกราคม ทานตะวันเป็นพืชทนแล้ง เกษตรกรนิยมปลูกแทนข้าวโพด เมล็ดทานตะวันมีคุณค่าทางโภชนาการ นิยมใช้สกัดทำน้ำมันปรุงอาหาร หรืออบแห้ง เพื่อรับประทาน หรือใช้เป็นส่วนผสมของเครื่ องสำอาง และยังสามารถเลี้ยงผึ้งเป็นอาชีพส่งเสริมได้อีกด้วย จึงทำให้ได้ผลผลิต คือ น้ำผึ้งจากดอกทานตะวันอีกทางหนึ่ง โดยแหล่งที่ปลูกทานตะวัน จะกระจายอยู่ทั่วไปในเขตอำเภอเมือง อำเภอพัฒนานิคม อำเภอชัยบาดาล พื้นที่ที่ปลูกเป็นจำนวนมาก ได้แก่ บริเวณเขาจีนแล ใกล้วัดเวฬุวัน ตำบลโคกตูม อำเภอเมือง จ.ลพบุรี



การเดินทาง ไปชมทุ่งทานตะวันสามารถใช้เส้นทางได้ 2 เส้นทาง ได้แก่


         เส้นทางแรก สามารถเดินทางจากจังหวัดลพบุรี โดยใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 1 ไปประมาณ 15 กม. จนถึงสามแยกพุแค แล้วเลี้ยวขวาไปตามทางหลวง หมายเลข 21 ไปอีกประมาณ 15 กิโลเมตร ก็จะถึงทางเข้าวัดมณีศรีดสถณและให้แล้วขวา ไปอีกประมาณ 2 -5 กิโลเมตร ก็จะพบทุ่งทานตะวันนับหมื่นไร่


              เส้นทางที่สอง สามารถเดินทางจากจังหวัดสระบุรี โดยใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 1 ไปประมาณ 15 กม.จนถึงสามแยก พุแคแล้วเลี้ยวขวาไปตามทางหลวง หมายเลข 21 ไปอีกประมาณ 15 กิโลเมตรก็จะถึงทางเข้าวัดมณีศรีโสภณและให้เลี้ยว ขวาไปอีกประมาณ 2 – 5 กิโลเมตร ก็จะพบทุ่งทางตะวันนับหมื่นไร



             อยากให้เพื่อนๆไปเที่ยว ทุ่งทานตะวัน กันนะครับ บอกได้เลยว่าสวยมากค่ะ คราวหน้าจะเป็นที่ไหนนั้นต้องมาติดตามกันครับ ขอบคุณครับ

ฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ


              ฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ  เป็นสถานที่เพาะพันธุ์จระเข้ที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นแห่งแรกของโลกที่มีการเพาะเลี้ยงเพื่อขยายพันธุ์จระเข้ ที่ทันสมัยที่สุด โดยนายอุทัย  ยังประภากร (นายหยาง ไห่ ฉวน) มีการเพาะพันธุ์จระเข้ทุกสายพันธุ์ที่มีอยู่ในโลกนี้  โดยมีจำนวนจระเข้ในปัจจุบันเกือบถึง 80,000 ตัว  ขนาดที่มีตั้งแต่ความยาวไม่เกินหนึ่งฟุต จนถึง 6 เมตร โดยเฉพาะจระเข้ขนาดยักษ์ความยาวประมาณ 5 – 6 เมตร นั้น มีจำนวนถึง 5,000 ตัว วึ่งเป็นสิ่งที่หาชมได้ยากจากที่อื่น และในจำนวนนี้มีจระเข้พันธุ์ผสมระหว่างจระเข้น้ำจืดและน้ำเค็ม ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีชื่อว่า เจ้าใหญ่  โดยได้การรับรองจาก กินเนสบุ๊ค ออฟ เรคคอร์ด ว่าเป็นจระเข้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยขนาดความยาวเกือบ 6 เมตร  น้ำหนักตัว 1114.27 กิโลกรัม ในปัจจุบันมีอายุถึง 28 ปี


                   ฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ  เป็นสถานที่เพาะพันธุ์จระเข้ที่มีกิจกรรมการเพาะเลี้ยงเพื่อการอุตสาหกรรมที่ครบวงจรที่สุด ตั้งแต่การเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ , การนำผลผลิตมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆเช่น นำหนังที่ได้จากจระเข้มาฟอกและผลิตเป็นกระเป๋า , เข็มขัด , พวงกุญแจ , รองเท้า และอื่นๆอีกมากมาย รวมทั้งเนื้อของจระเข้ก็สามารถนำมาปรุงเป็นอาหารต่างๆ เช่น ซุปจระเข้ , เนื้อแห้ง , เนื้อบรรจุกระป๋อง ซึ่งถือว่าเนื้อจระเข้นี้เป็นอาหารบำรุงร่างกายดีเยี่ยมชนิดหนึ่ง


              ภายในฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ  ยังมีกิจกรรมเพื่อการท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจมากมายหลายชนิด เช่น การแสดงการจับจระเข้ด้วยมือเปล่า , การต่อสู้กับจระเข้ , การนำศรีษะของผู้แสดงเข้าไปในปากจระเข้ , การให้อาหารจระเข้ด้วยตนเองของนักท่องเที่ยว , การถ่ายรูปกับจระเข้เป็นๆ และจระเข้สต๊าฟขนาดใหญ่  พร้อมทั้งยังมีการแสดงของช้างแสนรู้ที่ได้รับการฝึกสอนมาเป็นอย่างดี , การแสดงช้างวาดรูป , ช้างขับรถสามล้อ , ช้างโยนห่วง , ช้างเก็บของ , ช้างเต้นรำ , การนั่งช้างเพื่อชมทัศนียภาพภายในฟาร์มจระเข้ฯ , การนั่งรถไฟเล็ก , รถม้า , สนามยิงปืน   นอกจากนี้ยังมีสวนสัตว์ที่ประกอบไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิดเกือบทั่วโลก ให้ชมและศึกษาอย่างไกล้ชิด อีกทั้งยังสามารถถ่ายรูปกับสัตว์ต่างๆได้ เช่น เสือ ,ช้าง,  อูฐ, งูเหลือมขนาดยักษ์ , เสือและสุนัขอยู่ร่วมกรงเดียวกัน เป็นต้น


             ฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ  เป็นสถานที่เพียงแห่งเดียวที่จะสามารถศึกษาวงจรชีวิตของจระเข้ได้อย่างละเอียดทุกขั้นตอน นับตั้งแต่การฟักไข่ด้วยวิธีธรรมชาติและการใช้ห้องฟักไข่ที่ทันสมัยที่สุด , การอนุบาลลูกจระเข้แรกเกิด ไปจนถึงระยะการเป็นพ่อแม่พันธุ์  โดยที่ผู้สนใจไม่สามารถจะศึกษาหาข้อมูลจากที่อื่นได้เลยนอกจากที่นี่  อีกทั้งยังมีความแปลกประหลาดของจระเข้ที่ไม่สามารถหาชมได้จากที่อื่น เช่น จระเข้สีทอง , จระเข้เผือก , จระเข้ 5 ขา , จระเข้ 6 ขา , จระเข้ไม่มีตา , จระเข้ไม่มีหาง , จระเข้หลังค่อม ฯลฯ
          
                 ฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ  ยังได้เคยต้อนรับอาคันตุกะระดับสำคัญๆ จากต่างประเทศอยู่เนืองๆ ซึ่งเป็นราชอาคันตุกะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ  ตลอดทั้งแขกสำคัญๆ ของรัฐบาลไทย เช่น ให้การต้อนรับการเข้าเยี่ยมชมของ ฯพณฯ ประธานาธิบดีแห่งสาธารณะรัฐประชาชนจีน นายหยาง ซ่าง คุน  ,   ฯพณฯ ประธานาธิบดีแห่งสาธารณะรัฐประชาชนจีน นายหลี่ เชี่ยน เหมียน  และ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณะรัฐประชาชนจีน นายหลี่ เผิง  พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีของจีน ทุกยุคทุกสมัยก็เคยเดินทางมาเยี่ยมชมฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ ด้วยเช่นกัน  จึงนับได้ว่าฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ เปรียบเสมือนเป็นสถานที่ต้อนรับที่สำคัญที่หนึ่งของประเทศไทย ซึ่งเมื่อผู้ใดก็ตามที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยจะต้องเข้าเยี่ยมชมกิจการฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ ที่ใหญ่ที่สุดในโลกให้ได้


                  ดังนั้น  หากท่านต้องการที่ชมความยิ่งใหญ่ของการเพาะเลี้ยงจระเข้  ต้องการศึกษาด้านชีววิทยาของจระเข้  ต้องการเห็นความแปลกประหลาดของจระเข้  ต้องการพบความสนุกสนานตื่นเต้นของการแสดง  ต้องการสถานที่สำหรับพักผ่อนหย่อนใจอันสงบร่มรื่น  ท่านก็ไม่ควรพลาดโอกาสในการเข้าชมฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

เวลาเปิดบริการ  คือ 07.00 18.00 น.  ทุกวัน

วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรวิหาร




              วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรวิหาร  เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิด ราชวรมหาวิหาร เป็นที่ประดิษฐานองค์พระปฐมเจดีย์  ซึ่งถือว่าเป็นพระสถูปเจดีย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย   จังหวัดนครปฐมได้ใช้พระปฐมเจดีย์เป็นตราประจำจังหวัด พระปฐมเจดีย์ที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้เป็นองค์ที่สร้างขึ้นในสมัย รัชกาลที่ 4 เมื่อ พ.ศ. 2396 โดยโปรดเกล้าฯให้สร้างครอบพระเจตีย์องค์เดิม ซึ่งเป็นเจดีย์เก่าแก่มีฐานแบบโอคว่ำและมียอดปรางค์อยู่ข้างบน สันนิษฐานว่ามีอายุอยู่ในตอนต้นพุทธศตวรรษที่ 4 เนื่องจากรูปร่างของเจดีย์แบบโอคว่ำ มีลักษณะคล้ายกับสาญจีเจดีย์ในอินเดียซึ่งสร้างสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช การก่อสร้างเจดีย์ครอบองค์ใหม่เสร็จเรียบร้อยในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อ พ.ศ. 2413 รวมเวลาก่อสร้าง 17 ปี พระเจดีย์องค์ใหม่มีลักษณะเป็นเจดีย์ทรงกลม รูประฆังคว่ำแบบลังกา มีความสูงจากพื้นดินถึงยอดมงกุฎ 3 เส้น 1 คืบ 6 นิ้ว (หรือประมาณ 120.45 เมตร) ฐานวัดโดยรอบได้ 5 เส้น 16 วา 3 ศอก (หรือประมาณ 233.50 เมตร) ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้



               ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้ทรงบูรณะวัดพระปฐมเจดีย์ให้สง่างามมากขึ้น และถือว่า วัดพระปฐมเจดีย์เป็นวัดประจำรัชกาลที่ 6 และภายในวัดพระปฐมเจดีย์ยังมีสิ่งที่น่าสนใจต่างๆให้ชม เช่น พระร่วงโรจนฤทธิ์ เป็นพระพุทธรูปยืนปางประทานอภัย ประดิษฐานในซุ้มวิหารทางทิศเหนือหน้าองค์พระปฐมเจดีย์ สร้างในสมัยรัชกาลที่ 6 โดยได้พระเศียร พระหัตถ์ และพระบาท มาจากเมืองศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย แล้วโปรดเกล้าฯ ให้ช่างทำรูปปั้นขี้ผึ้งปฏิสังขรณ์ให้บริบูรณ์เต็มองค์ ทำพิธีหล่อที่วัดพระเชตุพนฯ เมื่อ พ.ศ. 2456 แล้วอัญเชิญ ไปประดิษฐานไว้ในซุ้มวิหารด้านทิศเหนือตรงกับบันไดใหญ่ และพระราชทานนามว่า “พระร่วงโรจนฤทธิ์ ศรีอินทราทิตย์ ธรรมโมภาส มหาวชิราวุธราชปูชนียบพิตร” และที่ ฐานพระพุทธรูปองค์นี้เป็นที่บรรจุพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว 


ภูกระดึง ขุนเขามหัศจรรย์แห่งเมืองเลย


            ว่ากันว่า....หากอยากพิสูจน์รักแท้ ให้พาคนที่เรารักไปร่วมพิสูจน์รักด้วยการเดินทางพิชิตยอดภูของ อุทยานแห่ง ชาติภูกระดึง และถ้าหากเขาคนนั้น สามารถร่วมเดินทางไปกับคุณจนกระทั่งถึงยอดดอย และคอยช่วยเหลือดูแลกันและ กันเป็นอย่างดีแล้วล่ะก็ เขาก็คือรักแท้ของเราเป็นแน่แท้!!!

         ...นี่คือตำนานคำกล่าวขานที่มักได้ยินเสมอๆ เมื่อเอ่ยถึง ภูกระดึง หรือ อุทยานแห่งชาติภูกระดึง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะการที่เราจะขึ้นไปถึงยอดดอยได้ ต้องเดินเท้าเป็นระยะทางกว่า 9 กิโลเมตร คือขึ้นเขา 5 กิโลเมตร บวกทางราบอีกประมาณ 3-4 กิโลเมตร (โห...ไหวไหมเนี่ย) ซึ่งนอกจากจะมีคู่รักไปสัมผัสพิสูจน์รักแท้แล้ว ภูกระดึง มักจะได้รับความนิยมในการไปแบบกลุ่มเพื่อนๆ อีกด้วย และทุกคนที่ได้ไปสัมผัสต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ตอนเดินเหนื่อยมาก ๆ แต่พอได้ไปสัมผัสกับธรรมชาติข้างบน ภูกระดึง แล้วคุ้มค่าสุด ๆ 

         แหม ... มีเสียงการันตีความท้าทาย ผจญภัย และน่าไปสัมผัสแบบนี้คงอดใจไม่ได้แล้วที่จะไปศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับภูกระดึง … เอาเป็นว่าเราไปทำความรู้จักอุทยานแห่งนี้พร้อม ๆ กันเลยครับ



        ภูกระดึง เป็นอุทยานแห่งชาติ ลำดับที่ 2 ของประเทศไทย ตั้งอยู่ในท้องที่ตำบลศรีฐาน อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย เป็นภูเขาหินทรายยอดตัด เป็นที่ราบขนาดใหญ่ มีเนื้อที่ประมาณ 60 ตารางกิโลเมตร มีความสูง  400 -1,200 เมตร  จากระดับน้ำทะเลปานกลาง  เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ที่ได้รับความนิยมมากแห่งหนึ่งของเมืองไทย จุดสูงสุดอยู่ที่บริเวณคอกเมย มีความสูง 1,316 เมตรจากระดับน้ำทะเล สภาพทั่วไปของภูกระดึง ประกอบไปด้วยพรรณไม้นานาชนิด พันธุ์สัตว์ป่านานาพันธุ์ หน้าผา ทุ่งหญ้า ลำธาร และน้ำตก อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ต้นน้ำของลำน้ำพอง ซึ่งเป็นลำน้ำสายสำคัญสายหนึ่งของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ด้วยความสูง บรรยากาศ และสภาพอากาศที่เย็นสบายตลอดปี บนยอด ภูกระดึง โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว อุณหภูมิอาจลดต่ำจนถึง 0 องศาเซลเซียส จึงเป็นแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยว ปรารถนาและหวังจะเป็นผู้พิชิตยอด ภูกระดึง สักครั้งหนึ่งในชีวิต

         สำหรับการเดินทางขึ้น ภูกระดึง นั้น ทางอุทยานฯ จะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเดินขึ้นได้ตั้งแต่เวลา 07.00 - 14.00 น. ของทุกวัน และหลังจากเวลา 14.00 น. เป็นต้นไป ทางอุทยานฯ จะไม่อนุญาต เพราะระยะทางในการเดินทางขึ้นเขาต้องใช้เวลาในการเดินเท้า ประมาณ 4-5 ชั่วโมง ซึ่งจะตรงกับเวลาพลบค่ำในระหว่างทาง ดังนั้น อาจจะทำให้เกิดความยากลำบาก อีกทั้งอาจได้รับอันตรายจากสัตว์ป่าที่ออกหากินในเวลากลางคืนอีกด้วย

          อย่างไรก็ตาม อุทยานแห่งชาติภูกระดึง จ.เลย จะเปิดฤดูท่องเที่ยวอีกครั้ง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2553 - 31 พฤษภาคม 2554 หลังปิดฟื้นฟูในช่วงฤดูฝน 


 จุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจบนภูกระดึง

             ผานกแอ่น... เป็น ลานหินเล็กๆ มีสนต้นหนึ่ง ขึ้นโดดเด่นอยู่ริมหน้าผา เป็นจุดท่องเที่ยวชมพระอาทิตย์ขึ้น ที่สำคัญอยู่จากที่พักศูนย์วังกวางเพียง 2 กิโลเมตร ในทุกเช้าของหน้าหนาวจะมีนักท่องเที่ยวนิยมถ่ายรูปกันมากและ มักจะมีการชิงทำเลดีๆ เสมอ สมัยนี้ทางไปมักมีช้างอาละวาด ตอนเช้าจะต้องไปพร้อมเจ้าหน้าที่เสมอ ห้ามไปเอง เป็นอันขาด นอกจากนั้น หากอากาศดีพอ ในช่วงเวลาที่เดินเท้าฝ่าความมืดมาชมพระอาทิตย์ขึ้นนั้น เป็นช่วงที่ประจวบเหมาะกับ เวลาที่พระจันทร์กำลังจะลับขอบฟ้า ด้านตะวันตกนั้นจะได้เห็นภาพสวยงามแปลกตาไปอีกแบบ ริมทางเดินใกล้ผานกแอ่นเป็นสวนหินมีดอกกุหลาบป่าขึ้นอยู่เป็นดงใหญ่ ซึ่งจะบานสะพรั่งเต็มต้นในเดือน มีนาคม-เมษายน และใครที่อยากไปชมประอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น ควรเตรียมไฟฉายสำหรับใช้ส่องทางไปด้วย

             ผาหล่มสัก...ถ้าไม่มาชมพระอาทิตย์ตกที่นี่ ก็เหมือนไม่ได้มาเยือนภูกระดึง…หลายคนถึงกับออกปากไว้แบบนั้น  ตัวผาหล่มสักอยู่ห่างจากผาแดง  2.5  กิโลเมตร  หากเดินมาจากแยกศูนย์โทรคมนาคมกองทัพอากาศ  บนเส้นทางน้ำตก  แต่ถ้าเดินจากที่พักศูนย์วังกวาง  จะมีระยะประมาณ  9 กิโลเมตร หากจะมาต้องเตรียมตัวให้ดี เพราะขากลับจะมืดกลางทางอย่างแน่นอน ด้วยลักษณะแผ่นหินแปลกตากับโค้งกิ่งสนที่รองรับกันพอดิบพอดีเช่นนี้ นักท่องเที่ยวจึงนิยมจะใช้เป็นจุดชมวิว ดูดวงอาทิตย์ตกดิน และน่าจะถือได้ว่าเป็นภาพที่เป็นสัญลักษณ์สำคัญของ อุทยานแห่งชาติภูกระดึง แนะนำสักนิดสำหรับผู้ที่จะไปชมประอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสัก ควรเตรียมเสื้อกันหนาวและไฟฉายสำหรับใช้ส่องทางเวลาเดินกลับที่พัก ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง

           ผาหมากดูก...อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว 2.5 กิโลเมตร เป็นผาที่มีลานหินกว้างขวาง เป็นผาสำหรับชมพระอาทิตย์ตกที่ใกล้ที่พักมากที่สุด สามารถชมทิวทัศน์ภูผาจิตในเขตอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว ในช่วงต้นฤดูฝนจะมีดอกกระเจียวขึ้นเต็มทุ่งตามเส้นทางสู่ผาหมากดูก


             น้ำตกวังกวาง...ชื่อก็บอกอยู่แล้ว น้ำตกวังกวางอยู่ใกล้ที่พักศูนย์วังกวางมากที่สุด โดยมีระยะทางห่างแค่ราว 1 กิโลเมตรเท่านั้นเอง ห้วยเล็กๆ ที่โอบล้อมที่พักอีกด้านจะไหลลงน้ำตกที่นี่ วังกวางเป็นน้ำตกเล็กๆ  ชั้นที่สูงสุด จะสูงประมาณ 7 เมตร ด้านข้างของน้ำตกมีทางแคบๆ  สำหรับปีนลงไปทีละคน จะพบหลืบหินมีลักษณะคล้ายถ้ำใต้น้ำตก น้ำตกวังกวางจะมีความสวยงามมากในช่วง ฤดูฝน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม - ตุลาคม บริเวณนี้จะมีทากชุม เพราะเป็นด่านช้าง หรือทางช้างเดิน ส่วนในฤดูท่องเที่ยวซึ่งเป็นฤดูแล้ง ปริมาณน้ำค่อนข้างน้อย นักท่องเที่ยวสามารถแวะชมได้ง่ายใกล้ที่พัก

            น้ำตกถ้ำสอเหนือ...อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง 4.8 กิโลเมตร เป็นน้ำตกขนาดกลาง สูง 10 เมตร น้ำไหลมาจากผาเป็นม่านน้ำตก บริเวณเหนือน้ำตกมีดงกุหลาบแดง ซึ่งในช่วงฤดูร้อนจะผลิดอกสร้างสีสรรค์ให้ กับบริเวณนี้สวยงามยิ่งขึ้น
             
             น้ำตกเพ็ญพบใหม่...เกิดจากลำธารวังกวาง น้ำตกผ่านผาหินรูปโค้ง ในหน้าหนาว ใบเมเปิ้ลที่อยู่บริเวณริมน้ำตก จะร่วงหล่นลอยไปตามผิวน้ำยามแดดสาดส่องผ่าน ลงมาจะเป็นสีแดงจัดตัดกับสีเขียวขจีของตะไคร่น้ำตามโขดหิน ลำธารวังกวางเป็นต้นกำเนิดน้ำตกที่มีชื่ออีกแห่งหนึ่ง คือ น้ำตกโผนพบ ซึ่งตั้งชื่อเป็นเกียรติแก่ โผน กิ่งเพชร นักชกแชมป์เปี้ยนโลกคนแรกของชาวไทยในฐานะเป็นผู้ค้นพบคนแรก เมื่อคราวที่ขึ้นไปซ้อมมวยให้ชินกับอากาศหนาว ก่อนเดินทางไปชกในต่างประเทศ

          
         นอกจากที่เอ่ยมาแล้ว อุทยานแห่งชาติภูกระดึง ยังมีสถานที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง เช่น น้ำตกรัตนา น้ำตกถ้ำสอเหนือ น้ำตกพระองค์ น้ำตกธารสวรรค์ ผาแดง ผาส่องโลก ผานาน้อย ผาจำศีล สวนสีดา ลานกินรี ลานวัดพระแก้ว และอีกมากมายบรรยายกันไม่หมด ดังนั้น ใครที่ชอบเดินป่า ปีนเขา และสัมผัสธรรมชาติแบบถึงเนื้อถึงตัว ภูกระดึง คงเป็นอีกหนึ่งสถานที่คุณจะพลาดไม่ได้ครับ


การเดินทาง

รถโดยสารประจำทาง

         โดยสารรถยนต์จากสถานีขนส่งสายเหนือ (หมอชิต) กรุงเทพมหานคร ไปลงที่ผานกเค้า ซึ่งเป็นเขตต่อแดนระหว่างชุมแพ-ภูกระดึง แล้วโดยสารรถประจำทาง(รถสองแถว) ไปลงที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูกระดึง จากนั้นก็เดินต่อขึ้นไปยอดภูกระดึงควรใช้รถประจำ หรือหากนักท่องเที่ยวใช้รถประจำทางเส้นทางกรุงเทพฯ-ขอนแก่น ลงที่ชุมแพ และต่อรถสายขอนแก่น-เลย ไปลงที่ตลาดอำเภอภูกระดึง ซึ่งจะมีรถสองแถวต่อถึงไปอุทยานฯ

         ปล. รถสองแถวแดงที่รับจ้างนำนักท่องเที่ยวส่งระหว่างจุดจอดรถที่ผานกเค้ามาที่ ทำการอุทยานแห่งชาติภูกระดึง คำแนะนำคือ ถ้าเรามาไม่กี่คนให้รวมทีมกับกรุ๊ปอื่นจะได้เฉลี่ยค่าสองแถวไม่ต้องเหมารถ ให้เปลืองสตางค์


 รถไฟ

         จากกรุงเทพมหานครโดยสารรถไฟไปลงที่ขอนแก่น จากนั้นโดยสารรถประจำทางสายขอนแก่น-เลย ไปยังหน้าตลาดที่ว่าการอำเภอภูกระดึง แล้วต่อรถสองแถว หรือเดินทางต่อไปอีกประมาณ 5 กิโลเมตร ก็จะถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูกระดึง ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นปีนเขาขึ้นยอดภู จากนั้นต้องเดินเท้าขึ้นยอดภู อีก 5 กิโลเมตร จึงจะถึง “หลังแป” แล้วเดินเท้าไปตามทุ่งหญ้าอีก 4 กิโลเมตร ก็จะถึงที่พักบนยอดภูกระดึงทางอุทยานฯ ได้จัดลูกหาบสัมภาระของนักท่องเที่ยวขึ้นไปบนยอดภูกระดึง คิดค่าบริการเป็นกิโลกรัม

 รถส่วนตัว

 
เดินทางโดยรถยนต์ สามารถเดินทางได้หลายเส้นทาง  

         1. เดินทางผ่านจังหวัดสระบุรี เพชรบูรณ์ อำเภอหล่มสัก หล่มเก่า ด่านซ้าย ภูเรือ และอำเภอเมืองเลย เลี้ยวเข้าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 201 (เลย-ขอนแก่น) และเลี้ยวเข้าทางหลวงจังหวัดหมายเลข 2019 เข้าสู่อุทยานแห่งชาติภูกระดึง 

         2. ใช้เส้นทางผ่านจังหวัดสระบุรี นครราชสีมา จนถึงจังหวัดขอนแก่นเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 201 ผ่านอำเภอภูผาม่านและตำบลผานกเค้า เข้าสู่อุทยานแห่งชาติภูกระดึง 

         3. เดินทางผ่านจังหวัดสระบุรี อำเภอปากช่อง เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข 201 ผ่านจังหวัดชัยภูมิ อำเภอภูเขียว แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12 ผ่านอำเภอชุมแพ จากนั้นเดินทางเช่นเดียวกับเส้นทางที่ 2


ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว   

         มีศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ทั้งบนยอดภูกระดึง และบริเวณที่ทำการอุทยานแห่งชาติซึ่งอยู่ด้านล่าง ให้บริการข้อมูลเกี่ยวกับอุทยานแห่งชาติ นักท่องเที่ยวสามารถเข้ามาขอรับบริการข้อมูลได้ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ ระหว่างเวลา 8.00 - 16.30 น.

 หมายเลขโทรศัพท์ที่สำคัญ

         บริเวณที่ทำการอุทยานฯ มีด่านเก็บค่าธรรมเนียมผู้ใหญ่คนละ 20 บาท เด็ก 10 บาท และบริการลูกหาบสัมภาระ กิโลกรัมละ 10 บาท นักท่องเที่ยวสามารถเช่าเต็นท์และบ้านพักได้ที่ที่ทำการอุทยานฯ โทร.0-4287-1333 หรือติดต่อกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กรุงเทพฯ โทร. 0-2562-0760

         ท้ายสุดฝากไว้ สำหรับเพื่อน ๆ ที่อยากไปท่องเที่ยวสัมผัสธรรมชาติบน ภูกระดึง ควรใช้เวลาอย่างน้อย 3 วัน จึงจะเที่ยวชมธรรมชาติได้ทั่วถึง ซึ่ง อุทยานแห่งชาติภูกระดึง จะเปิดให้เที่ยวบนยอด ภูกระดึง ได้เฉพาะในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤษภาคมเท่านั้น ช่วงระหว่างมิถุนายนถึงกันยายนของทุกปี ทางอุทยานฯ จะปิดเพื่อปรับสภาพธรรมชาติ ให้ฟื้นตัวและปรับปรุงสถานที่พักสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับนักท่องเที่ยว ฉะนั้น เช็คก่อนออกเดินทางกันด้วยล่ะ

         เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว บรรดาแบคแพ็คเกอร์ทั้งหลาย ก็เตรียมแพ็คกระเป๋า แล้วออกเดินทางกันได้เลย...

เที่ยวดับร้อน - พักผ่อนชิลล์..ชิลล์ ที่ เกาะเสม็ด

        
             เดือนเมษาหน้าร้อนในปีนี้ หลายคนคงเตรียมทริปดีๆ ไว้สำหรับพักผ่อน หย่อนใจ คลายความร้อน กันแล้วล่ะ และแน่นอน แหล่งท่องเที่ยวอันดับหนึ่งในใจของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ คงหนีไม่พ้น "เกาะเสม็ด" สถานที่ยอดฮิตพิชิตความร้อนของเมืองระยองฮินั่นเอง  เสน่ห์มัดใจของที่นี่ นอกจากจะมีชายหาดขาวสะอาด น้ำทะเลเย็นใสน่าสัมผัสแล้ว ยังมีกิจกรรมให้ร่วมสนุกทั้งยามกลางวันและค่ำคืน ที่สำคัญการเดินทางไปก็ไม่ยากนัก เพราะอยู่ไม่ห่างจากกรุงเทพฯ เท่าไรด้วยนะ

          นอกจากนี้ ภายในเกาะเสม็ด ยังประกอบไปด้วยชายหาดและอ่าวต่างๆ ที่เรียงรายยาวสุดลูกลูกตา ที่นักท่องเที่ยวต่างการันตีว่าถ้าไปถึงแล้วแทบจะไม่อยากกลับเลยทีเดียว

           หาดทรายแก้ว  ชายหาดชื่อคุ้นหู สำหรับนักท่องเที่ยว ที่หลงใหลในความเฮฮาปาร์ตี้  เรียกว่าเป็นหาดที่ไม่เคยหลับ เพราะมีกิจกรรมร้อยแปดให้เลือกสรร เริ่มอุ่นเครื่องในช่วงเช้าด้วยการเล่นน้ำทะเล ต่อด้วยนอนเอกเขนกรับแสงแดดในช่วงกลางวัน จากนั้นมานั่งเล่นยามเย็นชมพระอาทิตย์ตก พอค่ำหน่อยก็ดริ๊งค์แอนด์แดนซ์ใต้แสงจันทร์  โอ๊ย! มันส์หยดติ๋งจนลืมเวลากลับเลยล่ะครับ


               อ่าววงเดือน คึกคักไม่แพ้ หาดทรายแก้ว เพียงแต่อ่าวนี้ยังพอมีมุมสงบ ให้ผู้ที่มีโลกส่วนตัวสูงปลีกวิเวกไปทางด้านหัวอ่าวได้ ส่วนชาวแก๊งค์ที่รักความสนุกสนาน ไปรวมตัวกันที่กลางอ่าวได้เลย

               หาดคลองพร้าว ลักษณะหาดกว้างเป็นครึ่งวงกลม เหมาะสำหรับนั่งชมพระอาทิตย์ตก และที่สำคัญบรรยากาศเงียบสงบ เหมาะกับผู้คนที่อยากหลบหนีความวุ่นวายดีนัก  ส่วนชายหาดที่นี่จะกว้างมากชวนเพื่อนฝูงเล่นกีฬาริมหาดได้สบาย

               อ่าวช่อ/อ่าวทานตะวัน อ่าวช่อ และอ่าวทานตะวัน มีโค้งอ่าวที่ติดต่อกัน ทั้ง 2 อ่าวเหมาะที่จะเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ อย่างแท้จริง ผู้คนไม่พลุกพล่าน หาดทรายขาว และสวยงาม ลงตัวดีกับวันพักผ่อนของคุณ


              อ่าวทับทิม เป็นอ่าวเล็กๆ ที่เงียบสงบ เหมาะสำหรับการพักผ่อนนอนฟังเสียงคลื่นเป็นที่สุด

              อ่าวแสงเทียน เป็นอ่าวที่รักษาความเป็นธรรมชาติไว้ได้มากที่สุด  ฉะนั้นถ้าคุณเป็นนักท่องเที่ยว ประเภทกินลมชมวิว นอนนับดาวแล้วละก็ อ่าวแสงเทียน เป็นอีกอ่าวหนึ่ง ที่คุณไม่ควรพลาดเลยทีเดียว

              อ่าวหวาย อ่าวหวายค่อนข้างไกลจากหัวเกาะ  เรียกว่ายังคงความสวยงามในแบบธรรมชาติได้เป็นอย่างดี นักท่องเที่ยวที่รักสงบ และต้องการความเป็นส่วนตัวม๊ากมาก ต้องมาที่อ่าวหวายเท่านั้นครับ

              อ่าวกิ่วหน้านอก พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวธรรมชาติอย่างแท้จริง เพียงคุณชอบสัมผัสหาดทรายขาวละเอียด ไม่ต้องเบียดเสียดผู้คน พร้อมนั่งชมพระอาทิตย์ขึ้นและตก ที่สำคัญใช้เวลาเดินไม่นาน ระยะทางประมาณ 100 เมตรก็จะถึงจุดชมวิว ที่อ่าวกิ่วหน้าใน ที่นี่ถือเป็นแหล่งดื่มกินบรรยากาศที่ดีทีเดียว

              อ่าวกะรัง เหมาะสำหรับลงเล่นน้ำ และชมประการังได้  และยิ่งในช่วงเดือน พ.ย. - ธ.ค. (ปะการัง แค้มปิ้ง) คุณจะได้พบกับนักตกปลามากหน้าหลายตา เพราะพวกเขาแห่กันมาชมปลาอินทรีย์ที่เยอะที่สุด



              อ่าวน้อยหน่า ถึงแม้อยู่ใกล้กับหาดทรายแก้ว แต่บรรยากาศนั้นต่างกันสุดขั้ว (ประมาณว่าอยู่ป่ากับรัชดาซ.4..หุหุ) เรียกว่าใครที่ชอบความเงียบสงบ รักการอ่าน อยากอาบแสงแดดเคล้าน้ำทะเล บริเวณนี้มีพร้อมสรรพรอเพียงคุณหิ้วกระเป๋ามาเท่านั้น

             อ่าวลูกโยน เป็นอีกหนึ่งอ่าวของเหล่าพลพรรครักสงบ เพราะที่นั่นผู้คนไม่พลุกพล่าน  บรรยากาศแถบนั้นก็ชิลล์สุดๆ ถ้าคุณชอบความเงียบสงัดล่ะก็ อ่าวลูกโยนเค้าจัด...ด...ดให้

             อ่าวไผ่ อยู่ใกล้ชิดติดกับหาดทรายแก้ว มีเพียงโขดหินบางๆ คั่นอยู่ นักท่องเที่ยวส่วนมาก จะเหมาเดินเที่ยวหาดทรายแก้ว ไล่ไปจนถึง อ่าวไผ่ ในบริเวณโขดหิน มีวิวสวยงาม เหมาะกับการอาบแดด ถ่ายรูป ฯลฯ มีข้อแนะนำนิดนึงสำหรับผู้ที่ลงเล่นน้ำ ห้ามย่างกรายไปบริเวณที่มีธงสีแดงปักอยู่เป็นอันขาด เพราะตรงนั้นเป็นจุดน้ำวนครับ

             อ่าวนวล เป็นอ่าวเล็ก ๆ สำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบความสมถะ เรียบง่าย เพราะที่นี่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากนัก

             อ่าวขาม เป็นอ่าวหิน ที่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเข้ามา นอกจากจะนั่งเรือผ่านมาขึ้นทางอ่าวพร้าว ลักษณะภูมิประเทศ ของอ่าวขาม คล้ายๆ กับแหลมเรือแตก


การเดินทาง
ผู้ที่มีรถยนต์ส่วนตัว มีหลายเส้นทางให้เลือกดังนี้

         
- เส้นทางแรก ทางหลวงหมายเลข 3 (ถนนสุขุมวิท) จากกรุงเทพฯ ผ่านอำเภอบางปู อำเภอบางปะกง จังหวัดชลบุรี บางแสน ศรีราชา พัทยา หาดจอมเทียน สัตหีบ อำเภอบ้านฉาง ไปจนถึงอำเภอเมือง จังหวัดระยอง รวมระยะทางประมาณ 220 กิโลเมตร

          - เส้นทางที่ 2 ทางหลวงหมายเลข 34 (ถนนบางนา-ตราด) เริ่มจากตรงจุดสิ้นสุดทางด่วนด่านเฉลิมนคร อำเภอบางนา ผ่านอำเภอบางพลี อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ และเชื่อมต่อกับทางหลวงหมายเลข 3 ที่กิโลเมตรที่ 70 อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา หลังจากนั้นก็จะผ่านเส้นทางเดียวกันกับเส้นทางที่ 1 รวมระยะทางประมาณ 220 กิโลเมตร

          - เส้นทางที่ 3 ทางหลวงหมายเลข 36 (บายพาส 36) จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางเดียวกับเส้นทางที่ 2 จนถึงกิโลเมตรที่ 140 อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสู่เส้นทางหลวงหมายเลข 36 จากนั้นให้เดินทางต่อไปยังจังหวัดระยองด้วยระยะทาง 70 กิโลเมตร รวมระยะทางประมาณ 210 กิโลเมตร

          - เส้นทางที่ 5 ทางหลวงหมายเลข 7 (สายมอเตอร์เวย์) เริ่มจากถนนพัฒนาการ เขตประเวศ กรุงเทพฯ ไปสิ้นสุดที่ จังหวัดชลบุรี ระยะทาง 75 กิโลเมตร จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 36 เป็นระยะทาง 100 กิโลเมตร จนถึงอำเภอเมือง จังหวัดระยอง รวมระยะทางทั้งสิ้นประมาณ 175 กิโลเมตร

          และ ผู้ที่ใช้บริการรถสาธารณะ มีรถโดยสารประจำทางจากสถานีขนส่งสายตะวันออก (เอกมัย) ไปยังตัวจังหวัดระยอง และอำเภอต่างๆ ในจังหวัดหลายเส้นทาง ได้แก่

          - สายกรุงเทพฯ - ระยอง, บ้านเพ, แกลง, แหลมแม่พิมพ์, มาบตาพุด, ประแสร์ เป็นต้น

          สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0  2391 2504

          - สถานีเดินรถโดยสาร จังหวัดระยอง โทร.  0 3861 137 9

          การเดินทางไปเกาะ จะมีเรือจากท่าเรือบ้านเพ บริการทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง ค่าโดยสารระหว่างบ้านเพ-เกาะเสม็ด (ไป-กลับ 100 บาท/ท่าน) ใช้เวลาเดินเรือประมาณ 40 นาที ส่วนเรือ speed boat อยู่ที่คนละ  250 บาทหรือเหมาลำประมาณ 1,500 - 2,600 บาท
          การเดินทางบนเกาะ มี ถนนเพียงสายเดียว เป็นทั้งถนนคอนกรีตและถนนดิน และบนเกาะก็มีรถสองแถว(TAXI) บริการไปตามหาดต่าง ๆ ค่ารถประมาณ 10-500 บาท ขึ้นอยู่กับระยะทาง หากต้องการจะเหมาเที่ยวทั้งเกาะราคาประมาณ 800 บาท สำหรับนักท่องเที่ยวที่รักการผจญภัยและสนใจมอเตอร์ไซต์เช่า ราคาเริ่มต้นที่ 300 บาท


              อ๊ะๆ.. จะมัวนั่งทนร้อน นอนอยู่บ้านกันไปทำไม ลุกขึ้นมาฮาเฮ ชวนเพื่อนหรือคนรู้ใจ ไปใช้เวลาในวันหยุดยาว ด้วยการดื่มด่ำบรรยากาศชายทะเลที่ เกาะเสม็ด กันดีกว่า ..... แล้วเจอกันนะครับ !

วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554

สัมผัสความงาม น้ำตกผาดอกเสี้ยว ดอยอินทนนท์


           ถ้าพูดถึง อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ หรือที่หลาย ๆ คนเรียกสั้น ๆ ว่า ดอยอินทนนท์ ก็ขึ้นชื่อเรื่องความงดงามของธรรมชาติ ทิวเขา น้ำตก และความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าอยู่แล้ว (จริงไหม)

          แต่วันนี้จะพาเพื่อน ๆ ไปท่องเที่ยว เพื่อสัมผัสอีกความงดงามหนึ่งของ อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ แถมเมื่อปี พ.ศ.2549 ก็เคยมีชื่อเสียงโด่งดังสุด ๆ หลังจากที่ภาพยนตร์เรื่อง "รักจัง" ยังเลือกที่จะมาถ่ายทำที่นี่ ใช่แล้ว! เรากำลังเอ่ยถึง น้ำตกผาดอกเสี้ยว ซึ่งตั้งอยู่บ้านแม่กลางหลวง ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ และอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ 


           โดย น้ำตกผาดอกเสี้ยว เป็นน้ำตกขนาดใหญ่และงดงาม ที่หลบซ้อนสายตาของนักท่องเที่ยว อยู่ภายใต้ความสมบูรณ์ของผืนป่า เพราะการเข้าไปพิสูจน์ความงามของ น้ำตกผาดอกเสี้ยว ได้นั้น จะต้องเดินเท้าเข้าไปจากที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 1 กิโลเมตร จึงจะถึงชั้นแรกของ น้ำตกผาดอกเสี้ยว


          น้ำตกผาดอกเสี้ยว มีทั้งหมด 10 ชั้น โดยชั้นที่ชมได้สะดวกคือ ชั้นที่ 6, 7, 8, 9 และ 10 แต่ไฮไลท์ที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องไปเยือนคือ น้ำตกผาดอกเสี้ยว ชั้นที่ 7 เพราะ สายน้ำจากน้ำตกชั้นบน ไหลตกลงมากระทบน้ำตกชั้นล่าง เป็นสายสีขาว ฟูฟ่อง งดงามเกินบรรยาย อีกทั้งยังมีสะพานไม้สำหรับเดินข้ามลำธาร ที่ช่วยทำให้ความสวยงามของ น้ำตกผาดอกเสี้ยว น่ามองเขาไปอีก ส่วนที่มาของชื่อ น้ำตกผาดอกเสี้ยว ก็มาจากชื่อ "ต้นเสี้ยว" ซึ่งเป็นไม้เด่นบริเวณน้ำตกนั้นเอง


         อย่างไรก็ตาม นอกจากเพื่อน ๆ จะได้ชมความสวยงามของ น้ำตกผาดอกเสี้ยว แล้ว เพื่อน ๆ ยังได้ศึกษาธรรมชาติสองข้างทาง เพลิดเพลินกับนาขั้นบันไดที่หาชมได้ยากเต็มที่ รวมถึงวิถีชีวิตชาวปกาเกอญอ ซึ่งเลื่องชื่อในการอนุรักษ์อีกด้วย

          ทั้งนี้ สอบถามรายละเอียดได้ที่ อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ 119 หมู่ที่ 7 ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ 50160 โทรศัพท์ 0 5328 6728 - 9 (บ้านพัก), 0 5328 6730 (VoIP) โทรสาร 0 5328 6728 อีเมล inthanon_np@hotmail.com

การเดินทาง

          จาก ตัวเมืองเชียงใหม่ เดินทางโดยรถยนต์ไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 108 (เชียงใหม่-ฮอด) ผ่านอำเภอหางดงและอำเภอสันป่าตอง ไปยังอำเภอจอมทอง ก่อนถึงอำเภอจอมทองประมาณ 2 กิโลเมตร เลี้ยวขวาตามทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1009 (จอมทอง-ดอยอินทนนท์) จะเริ่มเข้าเขตอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ที่กิโลเมตรที่ 8 (น้ำตกแม่กลาง) และตัดขึ้นสู่ยอดดอยอินทนนท์เป็นระยะทางทั้งหมด 48 กิโลเมตร ที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ตั้งอยู่ที่กิโลเมตรที่ 31

ฉ่ำปอดเที่ยวทะเลกระบี่



          กระบี่ หนึ่งในจังหวัดชายฝั่งอันดามัน ที่วันนี้กล่าวได้ว่าเป็นที่นิยมที่สุด เมื่อนึกถึงการท่องโลกสีคราม หาดทรายขาวละเอียด  น้ำทะเลใสแจ๋ว   ตลอดจนเกาะแก่งและแนวปะการัง จึงทำให้ไม่ค่อยมีใครปฏิเสธการเดินทางไปเยือน จังหวัดกระบี่ เพราะที่นี่คือดินแดนแห่งขุนเขา หาดทราย ชายทะเล กลุ่มเกาะ น้ำตก และโถงถ้ำ ที่สวยงามติดอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย ซึ่งสามารถเดินทางไปเยือนได้ตลอดทั้งปี



           นอกจากการมานั่งเล่นกินลมชมวิวท้อง ทะเลและหาดทรายแล้ว  เทรนด์ใหม่ของการท่องเที่ยว ยังเน้นไปที่กิจกรรมกลางแจ้งหรือแนวแอดเวนเจอร์อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น ปีนเขา พายคายัก ดำน้ำ ฯลฯ ซึ่งกำลังเป็นกิจกรรมยอดนิยมในการท่องทะเลกระบี่ โดยที่มี อ่าวนาง เป็นศูนย์กลางในการท่องเที่ยวทะเลในจังหวัดกระบี่ ที่นั่นจึงมากไปด้วยโรงแรมและรีสอร์ต  รวมถึงบริษัทนำเที่ยวมากมาย และ อ่าวท่าเลน เป็น   แหล่งพายเรือคายักของจังหวัดกระบี่  อยู่ห่างจากตัวเมือง  35  กิโลเมตร  บริเวณเป้นโตรกผาสูงตระหง่าน น้ำทะเลสีเขียวใส เป็นเส้นทางพายเรือชมธรรมชาติที่สวยงาม


         ทว่า หากต้องการดื่มด่ำกับบรรยากาศบนชายหาดและน้ำทะเลใส ก็ต้องนั่งเรือท่องออกไปยังเกาะแก่งต่าง ๆ ที่กระจายตัวอยู่ในทะเลกระบี่ อย่าง  หาดไร่เล  หาดถ้ำพระนาง ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ ไกลจากความวุ่นวายของโลกภายนอก ด้วยไร้ถนนหนทางเข้าถึง ทำให้เป็นที่ปรารถนาของผู้ที่ต้องการไปพักผ่อนอย่างแท้จริง



           โดย  หาดไร่เล เป็นหาดทรายสีขาวละเอียดริมโตรกผา  เป็นที่รู้จักดีในหมู่นักท่องเที่ยว  โดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรมปีนหน้าผา แบ่งออกเป็นหาดไร่เลตะวันออก และหาดไร่เลตะวันตก มีโขดหินคั่นระหว่างหาดทั้งสอง บริเวณหาดมีที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวหลายแห่ง เดินทางเข้าถึงได้โดยทางเรือจากอ่าวนางใช้เวลา 10 นาที 




ส่วน หาดถ้ำพรนาง หรือ อ่าวนาง อยู่ห่างจากหาดนพรัตน์ธารา ตามถนนเลียบชายทะเลระยะทาง 6 กิโลเมตร เป็นชายหาดยาว  ทิวทัศน์โดยรอบสวยงามแปลกตาด้วยภูเขาหินปูนตั้งตระหง่าน ท้องทะเลในบริเวณอ่าวนางมีเกาะน้อยใหญ่กว่า  83  เกาะ บางเกาะมีรูปร่างประหลาดคล้ายรองเท้าบู๊ท  เรือสำเภา และหัวนก


        ที่จะพลาดไม่ได้หากได้มาเยือนที่นี่คือ หมู่เกาะปอดะ เป็นหมู่เกาะเล็ก ๆ ที่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของธรรมชาติ มีสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับยกย่องให้เป็นหนึ่งในอันซีนไทยแลนด์ นั่นคือ "ทะเลแหวก" โดยประกอบด้วยเกาะที่เด่น ๆ ได้แก่ เกาะปอดะ เกาะไก่ เกาะทับ และเกาะหม้อ วางตัวเป็นกระจุกอยู่ในบริเวณเดียวกัน ครั้นเมื่อยามน้ำลด บริเวณเกาะทับ เกาะหม้อ และเกาะไก่ ก็จะปรากฎแนวสันทรายโผล่ขึ้นมา กลายเป็นเส้นทางเชื่อมทั้งสามเข้าด้วยกัน จึงเป็นที่มาของคำว่าทะเลแหวก ทั้งนี้ การไปชมสถานที่ดังกล่าวควรไปช่วงน้ำลดลงต้ำสุดในแต่ละวัน โดยเฉพาะช่วงวันก่อนและหลังวันขึ้น 15 ค่ำ ราว 5 วัน จะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด


            อีกแห่งหนึ่งคงหนีไม่พ้น  หมู่เกาะพีพี  อัญมณีเม็ดงามแห่งอันดามัน  สามารถเดินทางไปถึงสะดวกได้ทั้งจากจังหวัดกระบี่และภูเก็ต  เป็นหมู่เกาะหินปูน รูปทรงแปลกตา  หาดทรายขาดละเอียดดุจแป้ง น้ำทะเลใสปานกระจก จนกลายเป็นสถานที่ยอดนิยมอันดับต้น ๆ ของโลก ที่สำคัญบริเวณชายหาดยังเหมาะกับการเล่นน้ำ และสามารถดำน้ำชมความงามของโลกใต้ทะเล ทั้งแบบการดำน้ำลึกและน้ำตื้น


            หรือจะไปสัมผัสความงามของ เกาะลันตา  เกาะที่ได้ชื่อว่ามีหาดทรายงามมากมายหลายแห่ง และนับเป็นเกาะที่มีหาดทรายติดต่อกันยาวที่สุดของจังหวัดกระบี่ ด้วยทัศนียภาพของหาดเปิดโล่งออกสู่ทะเลอันดามัน หาดเหล่านี้จึงเหมาะแก่การลงเล่นน้ำทะเลและพักผ่อนชายหาดได้ทุกแห่ง แต่ในความงานอันเป็นที่สุดนั้นเป็นที่ยอมรับกันว่า หาดบากันเตียง คือหาดที่ยาวและสวยงามที่สุด กว่า 1 กิโลเมตร

          รวมถึง เกาะไหง เกาะกลางทะเลอันดามันที่มีเวิ้งน้ำสีเขียวมรกต กับหาดทรายสีขาวยาวเหยียดสุดสายตา ตัดกับทิวมะพร้าวชายหาดเรียงราย ที่นี่คือเกาะในฝันที่เหมาะกับคนรักหาดทรายอย่างแท้จริง เกาะแห่งนี้มีหาดทรายอยู่ด้านหน้าของตัวเกาะ ที่หันออกสู่ทะเลด้านทิศตะวันออก จึงเหมาะกับการดูพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้าแล้วรอจนแสงแดดเจิดจ้า   เวิ้งน้ำด้านหน้าจะกลายเป็นสีเขียวมรกตงดงาม  ที่หน้าแปลกเกาะแห่งนี้อยู่ในจังหวัดกระบี่  แต่การเดินทางที่ใกล้ที่สุดกลับต้องมาจากหาดปากเมงของจังหวัดตรัง

          แต่ถ้าอยากไปท่องเที่ยวเกาะแฝดกลางทะเลต้องไป หมู่เกาะรอก เพราะมีเกาะที่อยู่เคียงคู่กันราวกับเกาะพี่เกาะน้อง ซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่แห่งในประเทศไทย ที่มีลักษณะเช่นว่านั้น ด้วยรูปลักษณ์ของเกาะที่มีขนาดใกล้เคียงกัน และตั้งอยู่เคียงคู่กัน มีเพียงร่องน้ำลึกตรงกลางช่องเขาขาด เป็นร่องแบ่งเกาะสองเกาะนี้ออกจากกัน   คือ เกาะรอกในอยู่ทางทิศใต้  และเกาะรอกนอกอยู่ทางทิศเหนือ ทั้งสองเกาะนี้จะมีหาดขาวท่ามกลางเวิ้งน้ำเขียวใสเป็นมรกต  อยู่ทางด้านตะวันออกของทั้งสองเกาะ  ซึ่งปรากฏเห็นเป็นปะการังยาวเหยียดอยู่โดยรอบ และเหมาะเป็นแหล่งดำน้ำลึกที่สวยงามแห่งหนึ่งในทะเลอันดามัน  นอกจากนี้ ในช่วงกลางฤดูฝนที่ตกหนักบางปีก็จะได้เห็นน้ำตกลงเล ซึ่งเป็นน้ำตกขนาดเล็ก ตกจากหน้าผาลงสู่ทะเลทางด้านทิศเหนือของเกาะรอกนอก และมีเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย


           และสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบความขจีของป่า ต้องไปยลโฉม เกาะห้อง เพราะเกาะแห่งนี้มีจุดเด่นไม่เหมือนใคร ด้วยชายหาดด้านหน้าเกาะที่โค้งเกือบจะเป็นครึ่งวงกลม ร่มรื่น ด้วยแนวป่าชายหาดด้านหลัง น้ำทะเลที่นี่เป็นสีเทอคอยส์ ชวนให้ลงแหวกว่ายไปกับฝูงปลาแสนเชื่อง และทุกเดือนมีนาคม เกาะแห่งนี้จะเป็นที่รวมของฝูงปลาขนาดเล็กมากมาย ที่มาชุมนุมกันอย่างน่าอัศจรรย์

          ก่อนจะทิ้งท้ายกันที่ ทะเลใน เกาะพีพีเล ลากูนมรกตแห่งทะเลอันดามัน เพราะนอกจากจะเป็นเกาะที่มีรูปพรรณสัณฐานงดงาม ด้วยโขดเขาหินปูนหยึกหยักเป็นแนวหน้าผาสูงประดุจปราการกลางทะเลแล้ว  ความเว้าแหว่งของเกาะแห่งนี้  ยังได้สร้างมุมมองทางอากาศที่งดงามด้วยเวิ้งอ่าวมาหยา  ที่หาดทรายขาวละมุนกับทะเลในที่ทุกวันในช่วงเวลาน้ำขึ้น และแสงแดดสาดส่องตอนกลางวัน เวิ้งน้ำแห่งนี้จะเปล่งประกายเป็นสีเขียวมรกตอย่างหน้าอัศจรรย์

           ซึ่ง คุณสามารถแล่นเรือหางยาวเข้าไปเที่ยวชมความงาม  อันลึกเร้นและหน้าจดจำ  ท่ามกลางหน้าผาอันสูงชันอันโอบล้อมเกือบทุกด้าน ส่วนถ้าเป็นช่วงเวลาน้ำลง คุณก็อาจจะได้เห็นชีวิตอันอีกมุมมองหนึ่ง คือ ลิงแสมที่มักพบเห็นออกมากินอาหารตามริมขอบทะเลในอยู่บ่อยครั้ง ที่นี่จึงควรค่าต่อการเป็นลากูนมรกตแห่งทะเลอันดามัน ที่คนทั้งโลกต้องประทับใจ

          นี่เป็นเพียงสถานที่ท่องเที่ยว "ทะเลกระบี่" เพียงไม่กี่แห่งที่เราหยิบมาบอกกัน เพราะจริง ๆ แล้วจังหวัดกระบี่ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวสวย ๆ แจ่ม ๆ รอให้ไปสัมผัสอีกเพียบ! ถ้ามีเวลาก็อย่าลืมแวะไปท่องเที่ยวทะเลกระบี่กันนะจ๊ะ


การเดินทาง

          กระบี่ อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 814 กิโลเมตร นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางสู่จังหวัดกระบี่ได้หลายวิธี ทั้งทางรถยนต์ส่วนตัว รถประจำทาง และเครื่องบิน

          โดยรถยนต์ : จากกรุงเทพฯ ไปกระบี่ได้ 2 เส้นทาง คือ

          1. ใช้ทางหลวงหมายเลข 4 (เพชรเกษม) ผ่านจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง พังงา ไปจนถึงกระบี่ ระยะทางประมาณ 946 กิโลเมตร

          2. ใช้ทางหลวงหมายเลข 4 (เพชรเกษม) จนถึงจังหวัดชุมพร แล้วต่อด้วยทางหลวงหมายเลข 41 ผ่านอำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร สู่อำเภอไชยา อำเภอเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 4035 ถึงอำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ แล้ววกเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 4 เพื่อเข้าสู่ตัวเมืองกระบี่ ระยะทางประมาณ 814 กิโลเมตร

          โดยรถประจำทาง : มีรถโดยสารธรรมดาและรถโดยสารปรับอากาศของบริษัท ขนส่ง จำกัด และของเอกชน สายกรุงเทพฯ-กระบี่ ออกจากสถานีขนส่งสายใต้ ถนนบรมราชชนนี ทุกวัน วันละหลายเที่ยว ใช้เวลาเดินทางประมาณ 11-12 ชั่วโมง สอบถามรายละเอียดได้ที่บริษัท ขนส่ง จำกัด โทรศัพท์ 1490 และ www.transport.co.th ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัท ขนส่ง จำกัด ได้เปิดให้บริการจองตั๋วรถโดยสารออนไลน์แล้ว ติดต่อได้ที่ www.thaiticketmajor.com นอกจากนี้ ยังสามารถซื้อตั๋วออนไลน์ได้ที่ไทยรูท ดอทคอม www.thairoute.com

          โดยเครื่องบิน : การบินไทยบริการเที่ยวบินประจำระหว่างกรุงเทพฯ-กระบี่ ทุกวัน โทรศัพท์ 0 2356 1111 หรือ www.thaiairways.com, สายการบินไทยแอร์เอเชียบริการเที่ยวบินกรุงเทพฯ-กระบี่ ทุกวัน โทรศัพท์ 0 2515 9999 หรือ www.airasia.com

วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ลงทะเล ดำน้ำ ชมประการังที่หมู่เกาะสุรินทร์

          
              หากเอ่ยถึงหมู่เกาะสุรินทร์ ที่นี่ขึ้นชื่อมาก ถือว่าเป็นหมู่เกาะที่โดเด่นในเรื่องของกิจกรรมดำน้ำ ชมประการัง หมู่เกาะสุรินทร์ที่ ได้ชื่อว่ามีแนวปะการังน้ำตื้นที่สมบูรณ์ที่สุดของทะเลไทย ส่วนจะสวยที่สุดของใครก็แล้วแต่มุมมองของแต่ละคน  สวยอย่างไรต้องชมด้วยตาตนเอง  ปะการังที่เกาะสุรินทร์ส่วนใหญ่ คือปะการังเขากวางเป็นปะการังที่โดดเด่นที่ สุด


          เกาะสุรินทร์ เป็น อุทยานแห่งชาติทางทะเลที่มีแนวปะการังน้ำตื้นที่สมบูรณ์ที่สุดของไทย   ตั้งอยู่ในทะเลไทยฝั่งอันดามันในเขตตำบลเกาะพระทอง อำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา
          หมู่เกาะสุรินทร์ ประกอบไปด้วยเกาะ 5 เกาะ แต่ละเกาะมีแนวปะการังที่สมบูรณ์ จุดดำน้ำที่เกาะสุรินทร์เริ่มจากอ่าวช่องขาด เป็นจุดที่อยู่ติดกับที่ทำการอุทยานบนเกาะ สามารถเดินลงไปชมได้โดยไม่ต้องขึ้นเรือ จากนั้นนั่งเรืออ้อมไปดำที่อ่าวไม้งาม ขากลับผ่านอ่าวสุเทพ แล้ววกไปเกาะมังกร วันต่อมาไปดำกันที่เกาะตอริ ขากลับผ่านอ่าวผักกาดที่เขาว่าปะการังที่นี่เหมือนกอผักกาด   กลับจากอ่าวผักกาดผ่านอ่าวเต่า เกาะสต๊อกเป็นจุดดำน้ำที่ไกลสุด และจุดสุดท้ายอ่าวแม่ยาย


          ความสวยงามของหมู่เกาะสุรินทร์ประกอบด้วย แนวปะการังที่มีขนาดใหญ่และยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ใต้ผิวน้ำประกอบด้วยสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลมากมายทั้งปลาหลากชนิดและปะการัง หลากหลายรูปแบบและสีสัน บนบกของเกาะสุรินทร์มีป่าที่อุดมสมบูรณ์  จนทำให้เกิดแหล่งน้ำจืดธรรมชาติบน เกาะเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้กินได้ใช้ตลอดช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว ในป่าเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าจำนวนมาก และนกหลายชนิด นกเด่นของที่เกาะสุรินทร์คือนกชาปีไหนจัดเป็นนกยายากชนิดหนึ่ง


                         ใครไปเที่ยวหมู่เกาะสุรินทร์มา ก็เก็บภาพมาฝากกันบ้างนะครับ